The official emblem for His Majesty the King's 6th Cycle Birthday Anniversary Celebrations, 5 December 1999 Welcome to Kanchanapisek Network Kanchanapisek Network logo


ENGLISH VERSION
หน้าแรก
พระราชประวัติ
พระราชพิธีกาญจนาภิเษก
พระราชกรณียกิจ
โครงการพระราชดำริ
พระราชดำรัส
พระราชอัจฉริยภาพ
เพลงพระราชนิพนธ์
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา
สยามบรมราชกุมารี

หน่วยงาน
ในเครือข่ายกาญจนาภิเษก

หน่วยงานที่ร่วมเสนอผลงาน
เกี่ยวกับเครือข่ายกาญจนาภิเษก
ความรู้เพื่อคนไทย
Site map
Milestones
Feedback

Main Banner

พระราชดำรัส
พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิตฯ
วันพฤหัสบดีที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
(ฉบับไม่เป็นทางการ)

ขอขอบใจนายกฯ และท่านทั้งหลาย ทั้งข้างในและข้างนอก ที่ได้มาชุมนุมกัน เพื่อให้พรในโอกาสวันคล้ายวันเกิด ซึ่งนับว่าเป็นกำลังใจที่จะมีชีวิตการทำงานต่อไป ที่นายกฯ ได้พูดถึงกิจการที่ได้ปฏิบัติมาในรอบปี ก็ความจริงในรอบปีนี้ สำหรับส่วนตัวไม่ได้ทำอะไรมากนัก เพราะว่ากำลังกายไม่ค่อยดี ประกอบด้วย การไปเข้าโรงพยาบาลหลายครั้ง และเมื่อเข้าโรงพยาบาลจะต้องฟื้นกำลัง เมื่อเดือนก่อนนี้ได้เข้าไปตรวจร่างกาย และใช้เครื่องสมัยใหม่สำหรับตรวจดู เมื่อตรวจดูแล้วเขาให้ดูผลด้วยเครื่องเอกซเรย์ ซึ่งถือว่าเป็นเอกซเรย์ธรรมดาแต่ว่าสมัยใหม่ที่สุด เวลาเขาเอามาให้ดูก็ตกใจว่า เราข้างในเป็นอย่างนั้น เขาก็ปลอกเปลือกหมด เขาเอาออกหมดแม้แต่กระดูก เขาก็หักกระดูกไปให้เห็นข้างใน เลยดู ดู ทำไมเราเดินไม่ตรงเพราะว่ากระดูกมันคด อย่างที่ว่า คดในข้องอในกระดูก เรางอจริงๆ กระดูก

เราก็เชื่อว่า ทุกท่านถ้าไปเข้าเครื่องนั้นคงงอ งอเหมือนกัน ไม่ทราบว่าจะคดเหมือนกันหรือเปล่า แต่ว่าดูแล้วก็ตกใจ แล้วก็ไอ้งอในกระดูกนี่ มันก็ทำให้ประสาทที่อยู่แถวๆ นั้น ถูกบีบไป เลยทำให้เดินไม่ตรง อย่างบางคนเขาบ่นว่า พระเจ้าอยู่หัวหมู่นี้ทำไมเดินไม่ตรง ใจมันตรงแต่ว่ากายมันไม่ตรง แต่ที่น่าดีใจอย่าง ที่สันหลังนั้น มีแห่งหนึ่งที่ชำรุด ชำรุดมาประมาณ ๓ ปี ๔ ปีแล้ว ก็แพทย์เขาก็บอกว่าอันนี้ต้องซ่อมแซม อาจจะต้องผ่าตัด หรืออาจจะต้องใช้วิธีสมัยใหม่ คือ ใช้กาวตราช้างไว้ติด เมื่อทราบจากแพทย์เขาบอกว่า สมัยใหม่นี่เขามีนะ กาวตราช้างสำหรับให้กระดูกมันอยู่ดี เราก็คิดว่า เราก็ปฏิบัติเองได้ กาวตราช้าง กาวอีพ็อกซี่เคยใช้มามาก โดยเฉพาะกาวอีพ็อกซี่ แต่ใช้สำหรับสร้างเรือ เรือใบก็ใช้กาวอีพ็อกซี่มันทนมาก แล้วใช้ก็ไม่ยากนัก ก็เลยนึกว่าน่าจะใช่

ไปดูเอกซเรย์ เห็นตรงที่เป็นเหมือนว่าเอากาวอีพ็อกซี่ไปปะไว้ ปะฝีมือไม่ดีนัก เพราะว่ามันเลอะไปข้างๆ แต่ไม่เสียหาย แต่ตรงที่จำเป็น ตอนแรกกระดูกมันแหลมๆ เดี๋ยวนี้กระดูกมันป้าน มันก็ดูสวยดี หมายความว่าใช้ได้ ตรงนั้นไม่มีปัญหา แล้วก็ประสาทก็ไม่กระทบกระเทือน เป็นอันว่า จากการไปเข้าโรงพยาบาลก็ทราบว่า ร่างกายมันดีขึ้นแล้ว ก็ปรากฏว่า ที่หลังมีการเดินก็ดูดีขึ้น ไม่เขย่งเหมือนก่อนนี้ แต่ยังมีอีกแห่ง ที่ยังซ่อมไม่เสร็จ ต้องใช้เวลานานกว่าจะซ่อมในกระดูกนี่ ก็นึกว่าน่าจะทำได้ ให้ร่างกายมันสมบูรณ์ แต่ใน ๒ ปีที่ผ่านมา ได้เข้าทำการผ่าตัด ๓ ครั้ง ไม่นับที่หัวใจ

นับที่ที่เขาเรียกว่า เออร์เนีย มันมี ๒ ข้าง เราก็ประหลาดใจที่ว่า เออร์เนียโดยมาก ก็เขาทำกันข้างเดียว นี่เราก็ทำทั้ง ๒ ข้าง ข้างหนึ่งเป็นมันโป่งออกมา เขาก็ผ่าตัด ผ่าตัดแล้วก็ยัดเอาไส้ที่เลื่อนเข้าไปใหม่ และเอาตะแกรงไปเข้าคุก ให้ไส้มันเข้าคุก ไม่ให้ออกมาใหม่ เขาบอกไม่มีวันออกมา ได้จำคุกตลอดชีวิต อีกข้างหนึ่งเขาเลยบอกว่า เอ๊ะเราได้ท่าเอาออกมาบ้าง ออกมา อันนี้ตอนนี้ส่วนหนึ่งเป็นความผิดของการพัฒนา

วันนั้นไปที่ปราณฯ ไปที่เขาทำโครงการปลูกป่าชายเลน เขาก็อธิบายใหญ่ เดินไปดูที่เขาอธิบาย และที่เขาอธิบายนั้น เกี่ยวข้องกับการปลูกป่าชายเลน ว่าควรจะทำอย่างไร พอดีมีคนที่เคยเป็นผู้เชี่ยวชาญทะเล ก็มา มาพูดถึงป่า ก็พูดถึงป่าบนภูเขา เลยไม่เข้าใจ คนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญนั้น เคยเป็นผู้ต้องดูแลทรัพยากรทางทะเล มาที่ทะเลมาพูดถึงป่า เมื่อพูดถึงป่า ก็ไม่พูดถึงป่าชายเลนด้วยซ้ำ พูดถึงป่าบนภูเขา อันนี้มันผิดประเด็น แต่ก็อธิบายยืดยาวตามเคยของเขา ก็เลยทำให้ยืนอยู่ไม่ได้นั่ง คนอื่นก็เดือดร้อนไปด้วย เขาบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่นั่ง เขาก็นั่งไม่ได้

ก็มีผู้เฒ่า เราก็ผู้เฒ่า เขาก็ผู้เฒ่า เขาก็บอกไม่ไหวยืนขาชา ยืน ๒ ชั่วโมงครึ่ง ก็สำหรับผู้เฒ่ามันไม่ใช่น้อย ที่นี้ก็ได้มาดูนิทรรศการ ก็ได้เห็นเรื่องไม่ใช่ที่ปราณฯ เรื่องที่ภาคใต้ เขาอธิบายว่า คลองนั้นทำไม่ได้ เพราะว่าต้องตัดต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไทรนั้น เขาให้ตัดไม่ได้ เพราะว่ามีผี ผีจริงๆ ที่ต้นโพธิ์นั้น เพราะที่ต้นโพธิ์ ต้นไทรนั้น เป็นที่ที่เขาประหารชีวิตคนพวกผู้ร้าย แล้วที่นั้นเขาก็สร้างศาลเล็กๆ เพื่อที่จะทำให้ผีผู้ร้ายนั้นไม่อาละวาด แต่ถ้าไปตัดต้นไทรนั้น แล้วทำคลองตรงไป ชาวบ้านเขาบอกน่ากลัว กลัวเขาจะโดนลงโทษ ก็ดูๆ ไป นึกว่ามีวิธีที่ทำได้ง่ายๆ ก็คือ อ้อมต้นไทรนั้นออกมานิดหนึ่ง

แล้วถามชาวบ้านๆ ที่เขามาเล่าให้ฟังบอกว่า ถ้าเราให้ชลประทานขุดคลองคดลงไปนิดหนึ่ง เขาจะว่าอะไรไหม ที่ดินตรงนั้นนะ เขาบอกไม่เป็นไร ที่ดินตรงนั้นไม่ห่วง ขอให้เลี้ยงต้นไทรนั้น ก็เป็นอันตกลง ท่านรัฐมนตรีก็อยู่ที่นั่น แล้วก็ท่านอธิบดีชลประทานก็รับว่า จะไปทำ ก็ปรากฏว่า ทำได้แล้ว ก็ไม่ได้ทำให้เสียหายอะไรเลย น้ำก็จะไหลได้ดี ก็เป็นอันว่าไป ไปดูป่าชายเลนก็ได้ผลในการพัฒนาถึงนครศรีธรรมราช คือ ไปดูอะไรที่ไหนก็เลยไป ทีหลังก็มาเจอผู้ที่มาจากพิษณุโลก บังเอิญชาวบ้านคนนั้น เขามาจากที่ ที่อยู่ใกล้แควน้อยของพิษณุโลกที่จะลงมาในแม่น้ำน่าน จำได้ว่าที่ตรงนั้น มันมีที่น่าจะใช้น้ำเพื่อจะทำเขื่อน ที่นับว่าใหญ่พอสมควร ที่จะช่วยในเรื่องถ้ามีขาดน้ำ ก็จะกักน้ำเอาไว้ และปล่อยลงมาสำหรับทำนา ทำการเกษตร

และทั้งในหน้าน้ำเวลาน้ำจะท่วม น้ำมาจากตรงนี้มันมาก จะทำให้แถวพิษณุโลก แถว ๖ อำเภอใกล้ๆ แถวนั้นน้ำท่วมเกือบทุกปี เพราะฉะนั้น ถ้าทำเขื่อนนี้ได้ก็จะดี แล้วก็ถามชาวบ้านว่า เห็นด้วยไหม เขาบอกเห็นด้วย ชาวบ้านนั้นเห็นด้วย บอกว่าเขาไม่ขัดข้อง มีคนที่จะเดือดร้อน อาจจะสัก ๒๐๐ – ๓๐๐ คน ก็เลยบอกเขาว่า ไปเจรจากับพรรคพวกที่นั้น บอกว่าทางราชการเขาจะช่วยหาที่ให้ และจะมีความเป็นอยู่ดีขึ้น เขาก็รับ ทางรัฐมนตรี และอธิบดี ก็รับว่าจะไปทำไปดู เขาก็รีบไปดูแล้วรายงานนายกฯ นายกฯ ก็บอกว่า อย่างนี้ที่ตะกี้บอกว่า เวลาถึงอายุ ๘๐ ก็อีก ๔ ปี หรือ ๘๒ ก็ ๖ ปีก็สร้างเสร็จ

แต่ถ้าทำได้ดีโดยไม่มีปัญหา จะช่วยจังหวัดพิษณุโลก และช่วยอีกในเขตใต้ของแม่น้ำเจ้าพระยานี้ด้วย ทำให้น้ำไม่ท่วม น้ำไม่แล้ง เพราะว่าเขื่อนนั้น ก็จะจุได้มาก ภายหลังก็มีคนเอะอะโวยวายว่า ถ้าสร้างแล้ว จะมีแผ่นดินไหว ก็เลยบอกว่า แผ่นดินนี้ก็จะต้องศึกษา เพราะว่าทั่วทุกแห่ง แผ่นดินไหวเกิดขึ้นได้ ต้องศึกษา ถ้ามีร่องรอยที่จะร้าวได้ เรื่องโลกของเราไม่ได้แข็งแรง โลกของเรามีรอยร้าวเรื่อย เกิดรอยร้าวในดิน ในหินก็มี แล้วรอยร้าวในการเมืองมีมาก ฉะนั้นก็กลัวเหมือนกันว่า สร้างเขื่อนนี้ จะทำให้รอยร้าวในดินเกิด แผ่นดินไหวโครมมา เราก็จะเดือดร้อน

แต่ที่เดือดร้อนที่สุดก็คือ รอยร้าวในคน คนทุกคน คนเดียวก็ร้าวได้ อย่างที่กระดูกร้าว ต้องปะด้วยกาวอีพ็อกซี่ แต่ว่าระหว่างคนหลายคน ในหมู่คนมีรอยร้าว ก็ลำบากมาก จะต้องหาวิธีที่จะประสานสมานความร้าว นี่แถวหน้าทั้งแถว ผู้ใหญ่ทั้งนั้น ก็รอยร้าวกันเยอะ ระหว่างคนหลายๆ พวก ติดๆ กันไม่ติดกร๊อบๆ กันร้าว ไม่สามัคคีกัน อันนี้แหละ ควรจะพูดตอนท้าย ให้ท่านทั้งหลายผู้ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กัน อย่าให้มีรอยร้าว เพื่อให้สามารถสมานสามัคคีกันได้ อันนี้เป็นสิ่งที่ควรจะพูดตอนท้าย แต่นี่เพิ่งเริ่มพูด นี่ก็อย่านึกว่าจบแล้ว ความจริงจบเดี๋ยวนี้ก็ได้แล้ว พูดเยอะแล้ว

แต่อาจจะมีเรื่องที่น่าจะพูดมากกว่านี้ เพิ่งเริ่ม เริ่มถึงไปที่ปราณบุรีแล้ว ใช้ใจบินไปปักษ์ใต้ ที่นครศรีธรรมราช แล้วไปเยี่ยมต้นไทรซึ่งมีผีหลอก แล้วก็ไปที่พิษณุโลกสร้างเขื่อน หมายความว่า วันนั้นไปคุ้ม ไปดูเขาปลูกต้นโกงกาง แล้วก็ได้ทำโครงการเพิ่มเติม หมายความว่า ไม่ต้องไปไหนมาก แต่ก็ด้วยใจ เราสามารถที่จะไปพัฒนาทั่วประเทศ และพัฒนาทั่วทุกแห่ง เมื่อตะกี้คิดหลายอย่าง จากที่นายกฯ พูดว่า ยังมีอีกมากที่ควรจะทำ แล้วก็ที่ท่านนายกฯ พูดถึงว่า มีสื่อมวลชนมาพูด มาถามว่า จะต่อสู้ลัทธิที่คุกคามประเทศไทยเวลานั้น เขาถามจริงๆ นี่มันเป็นเวลา ๒๐ กว่าปี ปีนั้นกำลังวุ่นวาย เขามาสัมภาษณ์หลายครั้ง เราจำได้ทีเดียวที่เขาถาม

ถามในห้องทำงานว่า แผนที่ใหญ่อยู่ในฝา เราก็ให้เขาดูว่า เราไปทำอะไรที่ไหน เขาจึงถามว่า ที่ท่านทำนี้สำหรับต่อสู้ก่อการร้ายใช่ไหม เราบอกว่าก่อการร้ายอะไร มีก่อการร้ายทุกแห่ง ทั้งในเมืองก็มี แต่ว่าที่เราไป ไปดู เราไม่ใช่จะไปปราบก่อการร้าย พูดจริงๆ อย่างที่นายกฯ บอก เรามาสำหรับปราบความจน ความเดือดร้อนของประชาชน ถ้าเราปราบความจน ความเดือดร้อนของประชาชน เหตุก่อการร้ายอะไรต่างๆ ก็บรรเทา ไม่มี ถึงว่าจะต้องพยายามปราบความจน ในการปราบความจนนั้น ก็มี เรียกว่าต้องพัฒนาอาชีพ ความเป็นอยู่ของประชาชน คือ อาชีพไม่ใช่เพียงแต่ปลูกผัก ถั่ว ปลูกงาให้หลานเฝ้า แต่ว่าเป็นเรื่องของให้ความอยู่ดี กินดี ความรู้ การศึกษา

กล่าวว่า ต้องช่วยให้การศึกษาดีขึ้น เพราะว่าถ้าการศึกษาไม่ดี คนไม่สามารถที่จะทำงาน การศึกษาต้องได้ทุกระดับ ถ้าพูดถึงระดับสูง หมายความว่า นักวิทยาศาสตร์ขั้นสูง ถ้าไม่มีการเรียนขั้นประถม ขั้นอนุบาล ไม่มีทางที่จะให้คนไทยขึ้นไปเรียนในขั้นสูง หรือเรียนขั้นสูง เรียนไม่ดี ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ดี เพราะว่าขั้นสูงนั้น ต้องมีรากฐานจากขั้นต่ำ ถ้าขั้นต่ำไม่ดี เรียนขั้นสูงต่างๆ ไม่รู้เรื่อง เมื่อไม่รู้เรื่อง ก็จะทำอะไรที่น่ากลัว เพราะว่าอย่างคนที่ทำระเบิดได้ ทำระเบิดได้ ซึ่งไม่ยากเลยทำระเบิดนี่ แต่ก่อนนี้นับว่ายาก แต่แท้จริงไม่ยาก ที่เขาระเบิดเมื่อเร็วๆ นี้ ที่เกิดเรื่องตะวันออกกลาง เขาไม่ได้ใช้ระเบิดปรมาณูอย่างที่กลัวกัน ใช้ปุ๋ย เอาปุ๋ยมาใส่แล้วก็จุดระเบิดถุงปุ๋ย ระเบิดทั้งตึก

อย่างเมืองไทยก็มีเหมือนกัน เอาระเบิดตึกให้เอาระเบิดปุ๋ยมา แต่เดชะบุญ ที่ระเบิดปุ๋ยมีผีอยู่ ผีนั่นนะ ทำให้เจอได้ว่า มีระเบิดปุ๋ย ครั้งนั้น ก็หลายปีอยู่แล้ว ถ้าไม่มีผีที่อยู่ในระเบิดนั้น ผีจริงๆ นะ ผีจริง คนเขาฆ่าแล้วเอาใส่เข้าไปในถังปุ๋ย ในถังปุ๋ยนั่น ผีมันทำยังไงไม่ทราบ มันโวยวายมา แล้วก็คนเข้าไปเจอ ทำให้เรื่องราวมันมีอยู่ว่า รถที่บรรทุกปุ๋ยนั้น บรรทุกระเบิดปุ๋ยมา ชนกับรถจักรยานยนต์ เขาก็หยุด เพราะว่าเขาก็กลัวเหมือนกัน ถ้าแล่นต่อไปเขาก็ถูกจับ คนขับก็ถูกจับ จะยังไงก็ถูกจับอยู่ดี จักรยานที่ถูกจับนั้นไม่ใช่ผี ผีมันอยู่ในระเบิด ก็เข้าไปเจอ ไปเจอผีในระเบิด

ผีในที่นี้ก็หมายความว่า คนตาย ก็เลยไม่ระเบิดมันก็เลยเป็นหมัน ไม่ได้ระเบิด แต่ที่เมื่อเร็ว ๆ นั้น ที่เขาไประเบิดตึกที่แบกแดด นั่นแหละ ใช้ระเบิดปุ๋ยนี่เอง ไม่ได้ใช้ระเบิดปรมาณู เพราะนี่ก็หมายความว่า วิชาการที่เรียนเอาปุ๋ยมาระเบิดตึก แล้วก็ไม่ได้วิชาการชั้นสูงนัก ไม่ใช่ไฮเทคโน ก็เคราะห์ดีตอนนั้นทราบ ไม่งั้นจะไม่เชื่อเลย ทราบแล้วว่า ปุ๋ย ปุ๋ยสำหรับปลูกข้าว ปลูกผักนั้น ทำเป็นระเบิดได้ เพราะว่าตอนที่มีก่อการร้ายที่แถวบุรีรัมย์ มีทหารเขามาพูด ทหารนี้เขาเกษียณแล้ว เกษียณแล้ว ตอนนั้นเป็นพันเอกพันโท เขาใช้ระเบิดปุ๋ยนี้ทดลอง แล้วเขาก็ถ่ายภาพยนตร์มาให้ดู ถ่ายวิดีโอมาให้ดู ระเบิดแรงมาก

เขาก็บอกว่า เราไม่มีอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงใช้อย่างนี้ดี แล้วก็เขาก็ทำ ก็หมายความว่า ทหารไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ เขาก็ใช้ ใช้ปุ๋ยนี้มา มาใช้เป็นระเบิด เพราะว่าทางราชการผู้มีอาวุธยุทโธปกรณ์ ก็ไม่ได้มีมากนัก แต่ว่าทหารในสนาม เขาก็คิดจะทำพัฒนาอาวุธ ที่จะทำให้ร้ายแรง ระเบิดได้ ระเบิดศัตรูได้ ที่พูดถึงคนที่มีความรู้ ถ้ามีความคิดผิดแปลกได้ ก็ทำอะไรๆ ได้มาก และทหารคนนั้น ก็เรียนจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ก็หมายความว่า โรงเรียนนายร้อยก็สอนอะไรๆ ก็ดีเหมือนกัน แต่ดูเหมือนไม่ได้สอน ไม่ได้สอนการทำระเบิด แต่ว่าอย่างไรก็ตาม มีรากฐานความคิดที่แหวกแนว ถ้ามีความคิดแหวกแนวตั้งแต่เด็ก ก็สนใจที่จะพัฒนาอะไรๆ ได้มาก ถ้ามีความคิดสูงก็จะยิ่งดี

ที่เมื่อเร็วๆ นี้ พวกนักเรียนไปแข่งขันโอลิมปิก ไม่ใช่โอลิมปิกวิ่ง หรือโอลิมปิกกีฬา แต่โอลิมปิกวิชาการ หลังๆ นี่ ไปก็นับว่าดีขึ้น ได้เหรียญทองมาได้เพิ่มขึ้น แต่ก่อนนี้ไม่ได้ อันนี้ สมเด็จกรมหลวงนราธิวาสฯ พี่สาวสนใจมาก แล้วก็มาบ่นว่า คน นักเรียนมีความรู้ไม่พอ มีความรู้ไม่พอ เพราะว่ารากฐาน ฐานรากของการเรียนไม่พอ ไม่ดี แล้วก็ฐานรากจะมาจากไหน ก็มาจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล จนกระทั่งชั้นประถม ชั้นมัธยม และถึงขั้นอุดมศึกษา ต้องพัฒนาให้ดี และพัฒนาวิธีความคิด วิธีคิดให้มีความซุกซนในความรู้ คือ ซุกซนอยากเรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ

ข้าพเจ้าเอง เรียนในชีวิตที่เรียนตั้งแต่เด็ก เริ่มต้นที่เมืองไทย เข้าอนุบาล เข้าอนุบาลอายุ ๓ - ๔ ขวบ แล้วก็จนกระทั่ง ถึงเข้าโรงเรียนอายุ ๕ ขวบ แต่ก็ไม่ได้เรียนต่อในเมืองไทย เพราะว่าต้องตามเสด็จฯ ไปต่างประเทศ และไปเข้าโรงเรียน ก็ตั้งแต่อายุ ๖ ขวบ ถึง ๑๗ ก็ไปอยู่โรงเรียน ตั้งแต่อนุบาล จนกระทั่งถึงขั้นมัธยมฯ ก็พยายามศึกษาในหลักสูตรของโรงเรียนที่เขามี ซึ่งก็นับว่าหลักสูตรของเขาดี เพราะว่าทำให้คิด เขาสนับสนุนให้คิด ไม่ใช่สมัยนี้ อย่างที่เมืองไทยเขาหาว่าครูบังคับนักเรียน แต่มาวิธีที่คิดใหม่ของรัฐบาล ต้องให้นักเรียนสอนครู ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเด็กเพิ่งเกิด เพิ่งเห็นโลก จะสอนครูได้อย่างไร

แต่จริงครูบางคนสอนไม่เป็น รัฐมนตรีบางคนก็สอนไม่เป็น แต่ว่าถ้าสอนให้ถูกหลัก จะทำให้เด็กสอนครูได้ ซึ่งไม่ใช่ว่าถ้าเด็กสอนครู แต่เด็กเกิดมีปัญหาอะไร ก็ให้ยอมให้เด็กพูดขึ้นมา เอ๊ะ นี่อะไร เท่ากับสอนครู คือ ถ้าเด็กร้องขึ้นมาว่า เอ๊ะ นี่อะไร โดยมากครูโกรธ ดูถูกครูแล้ว ทำโทษ หมายความว่าการปฏิรูปศึกษา จะต้องให้มีว่า ให้เด็กเกิดสงสัยได้ และอย่าไปนึกว่าสงสัยครู หรือสงสัยอธิบดี สงสัยปลัดกระทรวง สงสัยรัฐมนตรี อ้ะ ผู้ช่วยรัฐมนตรีก่อน รัฐมนตรีช่วยว่าการ รัฐมนตรีว่าการ

ถ้าเด็กร้องขึ้นมา เอ๊ะ นี่อะไร ฟังเอา อันนี้ที่หมายถึงฟังเด็ก เพราะว่าความที่เด็กไม่ใช่เขารู้ เรียนรู้มา แต่บางคนเขามี ความคิดที่แปลกๆ แหวกแนว เมื่อมีความคิดแหวกแนว เขาร้อง เอ๊ะ ให้ฟังเขา ต้องฟังเขา ที่บอกอย่างนี้เพราะประสบการณ์ของตัวเอง เมื่อเด็กๆ เราไปร้องเอ๊ะ ทำไมเป็นอย่างนั้น แล้วก็ครูก็ดี ครูฝรั่งที่เขาบอกว่า เขาอธิบายมาที่เอ๊ะนั้นคืออะไร เราพอใจ ก็สนใจต่อไป ที่ร้องเอ๊ะนี่ เขาไม่ได้สอนในโรงเรียน อย่างประวัติศาสตร์ เขาสอนเรื่องที่เดี๋ยวนี้เป็นปัญหา เมโสโปตาเมีย เขาสอน แต่สอนเพียง เล็กน้อย เราไปสนใจเมโสโปตาเมีย ก็คืออิรัก อิรักที่เป็นเมโสโปตาเมีย

เมโส ระหว่าง โปตาเมีย ก็แปลว่า แม่น้ำ แม่น้ำระหว่าง ๒ แม่น้ำ แม่น้ำไทกริส กับแม่น้ำยูฟราติช ที่ระหว่างนั้น เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมาก มีเมืองสำคัญๆ ในนั้น เขาก็สอน แต่ว่ามีเมืองบางเมืองสำคัญพอๆ กัน เวลานั้น ก็เป็นเวลาเกือบ ๗๐ ปีแล้ว เอ้อ ๗๐ ปีแล้ว เมื่อ ๔๐ ปีก่อนนี้ ที่ฝรั่งยังไม่ได้ศึกษาดี และยังไม่ได้สอน มาสมัยนี้ เมืองที่เราสนใจ เดี๋ยวนี้เขาถือว่าเป็นเมืองสำคัญกว่าเมืองแบกแดด เมืองบาร์บิโลน แต่ว่าเขาไม่รู้ พอดีได้ไปซื้อหนังสือมา แล้วก็ไปเจอเมืองที่เรียกว่า อูล ตอนนั้นไม่มีใครรู้จักเลย ครูก็ไม่รู้จัก เราก็เอ๊ะ ไปร้องเอ๊ะ มันน่าสนใจนะ ลงท้ายเลยไปซื้อหนังสือนั้นมาอ่าน และก็มีคล้ายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์โบราณ

แล้วมาเดี๋ยวนี้เกิดสงครามอ่าว สงครามที่ในเมโสโปตาเมีย สงครามที่อเมริกันกำลังไปอยู่ที่นั่น ลำบากใจ เราก็รู้ รู้ว่าภูมิประเทศ และคน ประชาชนแถวนั้น มีประวัติศาสตร์อย่างไร หลายพันปี ประวัติศาสตร์ในแถวนั้น เป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญของโลก ซึ่งฝรั่งเขาถือว่า ประวัติศาสตร์ที่สำคัญมีประวัติศาสตร์อียิปต์ ประวัติศาสตร์เมโสโปตาเมีย ประวัติศาสตร์ตอนนั้นไม่รู้จักเท่าไร ประวัติศาสตร์จีน แต่ว่าเดี๋ยวนี้เขารู้จักประวัติศาสตร์อินเดีย ประวัติศาสตร์จีน อเมริกาไม่พูดถึงเพราะว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่ใหม่ แต่ว่าในที่สุดก็มี เขาก็ศึกษาไป ก็ประวัติศาสตร์พวกเรียกว่า อินเดีย อินเดียน อินเดียนอเมริกัน อินเดียนเก่า

ที่เขาเรียกอินเดียนนั้น ที่อเมริกา เพราะว่าเขานึกว่าเดินทางไปเจอเมือง ไปเจอดินแดน เขานึกว่าไปถึงอินเดีย อินเดียภารตะ เขาก็เลยเรียกพวกนั้นว่าเป็นอินเดีย แท้จริงไม่ใช่ เป็นคนละเมืองคนละพวก ก็ศึกษา ข้าพเจ้าเองก็เกิดสนใจ สนใจประวัติศาสตร์ของพวกมายา พวกมายานี้ เพื่อนๆ เด็กๆ ก็ไม่รู้จัก เพราะว่าไม่เคยเรียน เขาสอน ไม่สอนในโรงเรียนครูไม่สอน เราก็ต้องสอนครู นี่ ก็แปลกอย่างนี้ เราก็ทำตามนโยบายของท่านนายกฯ มา ตั้งแต่ท่านนายกฯ ยังไม่เกิด เราสอน เราสอนครู และลงท้ายครูเขาก็ยอมรับ ดีอยู่ที่ครูยอมรับ เราก็เลยไม่ถูกดุ ไม่ถูกดุแบนไปเลย

แต่ท่านนายกฯ ก็เห็นว่าควรที่จะให้เด็กๆ สอนครูได้ ถูกต้อง แต่ว่าให้เด็กสอนครู จนกระทั่งครูไม่ได้สอนเด็ก อันนี้เป็นไปไม่ได้ ถ้าเด็กสอนครู เออมันไม่ก้าวหน้า ครูต้องสอนเด็ก ครูดีๆ ยังมี อย่างน้อยในนี้ก็มีครูที่ดีคนหนึ่ง คือท่านนายกฯ ท่านนายกฯ ไปสอนเด็กๆ แบบให้เด็กสอนครู แต่สังเกตดู นายกฯ สอนเด็กให้เด็กสอนครู แต่ว่าท่านนายกฯ ไม่ยอมให้เด็กสอนนายกฯ ก็อันนี้แหละที่ท่านนายกฯ ไปสอนเด็ก ก็เป็นหมัน เพราะว่าท่านนายกฯ ไม่ยอมให้เด็กสอนครู อันนี้ก็ขอโทษนะ สังเกตดู และเห็นว่า ท่านนายกฯ สอน สอนแบบสอน สอนแบบโบราณ อย่างนี้ท่านนายกฯ ไม่ค่อยชอบ โบราณไม่ชอบ ชอบสมัยใหม่ ต้องไอที ไม่ต้องน้อยใจ ข้าพเจ้าเองก็เจอ

เจอก็เพราะว่าเมื่อตอนที่เขามีไอทีใหม่ๆ เขาบอกว่า พระเจ้าอยู่หัวเป็นไอทีคิง เป็นคิงที่เชี่ยวชาญไอที เราก็เหนียมเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่าไอทีคืออะไร ไอทีเป็นอะไรไม่ทราบ เลยต้องศึกษา ต้องศึกษาว่า ไอทีคืออะไร ลงท้ายก็ไม่ค่อยรู้เรื่องไอที แต่ว่าทำท่ารู้ ก็ใช้ แต่ก่อนไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ ก็มาเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ ตอนแรกที่ใช้คอมพิวเตอร์ ตั้งใจจะใช้คอมพิวเตอร์ ไม่ใช่สำหรับทำการ รีเสิร์ช อะไร เนี่ย เราเลยติดท่านนายกฯ พูดภาษาฝรั่ง เขาว่าไอทีนี่จะต้องค้นคว้า วิจัย อะไรต่าง ๆ แต่เราไม่ได้ทำอย่างนั้น เราตั้งใจ ที่จะเขียนโน้ตดนตรี เพราะว่าเขียนด้วยมือมันไม่สวย ก็เลยดูจะเขียนโน้ตดนตรี เขาก็มีวิธีใช้ อะไรละมุนภัณฑ์ ละมุนภัณฑ์สำหรับดนตรี ละมุนภัณฑ์ไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็มันละมุน มันนิ่ม นิ่ม ก็เลยทำไปทำมา ละมุนภัณฑ์สำหรับดนตรีนั้น ก็ใส่เครื่องดนตรี เครื่องคอมพิวเตอร์ ใส่เข้าไป มันใช้ไม่ได้ดี

เราก็ตบแต่งของเราเอง ที่เขียนโน้ตดนตรีทุกวันนี้ ใช้ละมุนภัณฑ์ของตัวเอง แต่ว่ามันยาก เขียนยากแต่ก็ใช้ได้ ก็แก้ได้ เลือกที่ใช้ก็เลยลำบาก เพราะว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทุกวันนี้อายุ ๑๖ ปีแล้ว ๑๖ ปีได้มาเครื่องนี้ได้มาก่อนอายุ ๖๐ นี่ถ้านายกฯ ทราบก็อู้ ไม่ดี ต้องถวายเครื่องที่ทันสมัยหน่อย ความจริงได้รับเครื่องทันสมัยมา ๕-๖ รุ่นแล้ว ที่ใช้อยู่เดี๋ยวนี้ ปีต่อไปก็มีอีกอันหนึ่ง เขาเอามาให้ ไม่ได้ซื้อ อันแรกเราซื้อไม่ทัน ใช้ล้าสมัยแล้ว ต่อมามีอีกอัน แล้วต่อมาอีกอันๆ ซิสเต็มก็เปลี่ยน จนกระทั่งเราไม่ไหว ตามไม่ทัน เราก็ใช้อันบุโรนั่นนะ อันบุโรซึ่งเดี๋ยวนี้กลัวว่าอีก ๒ ปีมันจะระเบิด เพราะว่าถ้าทำไม่ดีมันระเบิด มันมีทุระเบิดขึ้นมา เพราะว่าใช้มากเกินไป

แต่นึกว่าไม่เป็นไร เพราะเราใช้อย่างปัญญาอ่อนมาก คือไม่ใช้อย่างก้าวหน้า แล้วมานึกดูทำอย่างไร ที่จะใช้คอมพิวเตอร์ที่ทันสมัย จะได้ไม่ต้องอายนายกฯ เลยนึกว่า เมื่อคอมพิวเตอร์นี้หมดอายุจริง ๆ จะก้าวหน้ามาก ถ้าใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ ตอนนี้ก็จะต้องเรียนแล้ว สอนครูไม่ได้ครูก็ไม่มีแล้ว ครูก็เกษียณหมดแล้ว ก็เลยนึกว่าจะต้องมาขอมาพึ่งครูทักษิณ ก็ไม่มีแล้วครูใน เมืองไทยไม่มีครูอื่น มีแต่ครูทักษิณ อีกหน่อยก็คงต้องเดือดร้อน นายกฯ ต้องเดือดร้อนเพราะว่าจะต้องมาสอน ไม่มีเวลาไปทำอะไรอื่น สอนอยู่นั่นนะ แล้วเราก็ไม่เข้าใจก็ต้องสอนอีก ลงท้ายนายกฯ ทักษิณ ก็บอกว่าข้าพเจ้า ครูข้าพเจ้าต้องฟังลูกศิษย์ เราก็ต้องสอนครูทักษิณ นี่มันเป็นอย่างนี้

สมัยใหม่ วิธีการศึกษาสมัยใหม่ของนายกฯ คืออย่างนี้ จะต้องสอนคุณทักษิณ ใครๆ ก็ต้องสอนทักษิณ แต่ว่ามันไม่ใช่บูรณาการ บูรณาการเราก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ตอนนั้นนายกฯ ไปประชุมก่อการร้ายที่บาหลี แล้วก็มีท่านรองนายกฯ มา มาบูรณาการซีอีโอ แล้วก็มึนเหมือนกันน่ะ ท่านพูดว่าอะไรบูรณาการ แล้วก็ซีอีโอ แล้วก็ไม่ทราบว่าท่านพูดอะไร ก็เลยอยากถามท่านเหมือนกัน เพราะท่านก็เป็นครู ทำไปทำมามาขอให้เราสอนซีอีโอ เราก็บอกมิบังอาจ มิบังอาจที่จะสอนซีอีโอ ซีอีโอ เขาใหญ่ เขาสั่งได้ทุกอย่าง แล้วตอนหลังปรากฎว่า ก็ถามเขา เขามาตอนนั้นที่เราเจอซีอีโอที่หัวหิน ไม่กี่วันที่หลังเราจะมาเรื่องเอเปกที่กรุงเทพฯ แล่นรถแล่นก็แล่นไม่ได้น้ำท่วม เขาบอกว่าแล่นรถไปไม่ได้ เพราะว่า น้ำท่วมรถนั่งไม่ได้มันจะลอยไป

ก็เลยไปเจอกับผู้ว่าฯ ซีอีโอ ผู้ว่าฯ ซีอีโอ เขาก็งงว่ารู้ได้อย่างไร เพราะผู้ว่าฯ ซีอีโอ เป็นคนเก่ง แต่ซีอีโอสั่งไม่ได้ ที่จริงซีอีโอจะต้องสั่ง แต่คนที่สั่งจะต้องรู้เรื่อง ท่านผู้ว่าฯ นั่นเพิ่งมา ๒ อาทิตย์ มาก็ไม่รู้จักที่เลยไม่เคยมา ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็ทำหน้าที่ซีอีโอเหมือนกัน ก็เลยเละเลย เขาบอกว่าน้ำที่ถนนมีน้ำ ๑ เมตร ซึ่งรถแล่นไม่ได้ ทำไปทำมา ภายในชั่วโมงเขาบอก เขาจัดการได้แล้ว มีน้ำเพียง ๑๐ เซนติเมตร เอ๊ะเป็นยังไงนะ ตอนนั้นบอกว่ามีน้ำ ๑ เมตร หมายความว่าผู้ว่าฯ ซีอีโอภายในชั่วโมง ท่านเรียนรู้แล้ว สั่งอย่างนั้น ไม่ให้ปล่อยน้ำมาทางนี้ ให้ปล่อยน้ำไปทางโน้น ลงท้ายก็แล่นรถไปได้ มาที่เขาประชุมซีอีโอกัน มีสเตท วิสิท ตั้งสาม แล้วก็ท่านนายกฯ จัดหมด

แล้วขากลับแห้ง ถึงให้เงิน ๑๘,๑๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อให้เขาทำ เพราะว่าน้ำมันไม่ไป ไม่ลง เพราะน้ำถูกกักบีบคันเขื่อน ที่เขาทำไว้ สำหรับไม่ให้น้ำทะเลเข้ามา ตอนนี้น้ำทะเลไม่เข้า แต่น้ำจืดน้ำเขื่อนเขาปล่อยลงมา มันไม่ออก มันเป็นอย่างนี้ เรื่องวิธีปราบน้ำท่วม หรือน้ำแล้ง ถ้าน้ำแล้งก็ต้องกั้นเอาไว้ เพื่อจะให้น้ำเอาไว้เป็นประโยชน์ได้ แต่ถ้าน้ำมันมากก็ต้องปล่อยให้ออกไป ที่นี่ทำไม่ได้เพราะไม่มีทางออก เพราะกั้นน้ำทะเลไม่ให้เข้า น้ำจืดที่มาท่วม ๑ เมตร ก็ออกไม่ได้ ก็เลยให้ต้องตัดถนนหรือตัดเขื่อน ตัดคันป้องกันน้ำเค็มออก น้ำก็พรวดออกไป

หลักวิชาของชลประทานอันนี้ เป็นเรื่องของชลประทาน ที่เขื่อนเพชรรับน้ำจากแม่น้ำเพชร แล้วก็ยกระดับน้ำขึ้น อันนี้เป็นวิชาการชลประทาน ยกระดับน้ำขึ้น สำหรับดันให้เข้าไปในคลองส่งน้ำ น้ำนั้นเขาก็เอาใช้ออกไปในนา ในสวนที่ต้องการน้ำ ในยามปกติก็เป็นอย่างนั้น คลองมีเขื่อนยกระดับน้ำ แล้วดันเข้าไปในคลอง คลองซึ่งส่งไปที่ทำการเพาะปลูก แต่ตอนนี้น้ำมันมาก คลองนั้นจะต้องเป็นคลองระบายน้ำ ซึ่งที่เพชรบุรีไม่มีคลองระบายน้ำ มีแต่คลองส่งน้ำ ท่านอาจไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างคลองส่งน้ำ กับคลองระบายน้ำ ส่งน้ำก็เอาน้ำส่งไปในที่ที่ต้องการ ระบายน้ำแปลว่าเอาน้ำนั่นออกจากที่ที่ไม่ต้องการ

ที่เพชรบุรีไม่มีคลองระบายน้ำ และไม่มีประตูควบคุมน้ำ ประตูมันกั้นน้ำทั้งนั้น ก็เลยทำให้วุ่นวาย ไม่ใช่ความผิดของท่านผู้ว่าฯ ซีอีโอ แต่ท่านไม่รู้ ท่านไม่เคยเรียนชลประทาน ท่านไม่เคยเรียน ดูแผนที่ อย่างที่นายกฯ บอกว่ามีวิชาดูแผนที่ ท่านไม่รู้ แต่ท่านเรียนเร็ว ลงท้ายก็เรียบร้อย ก็เชื่อว่าปีหน้าไม่มีน้ำท่วมเพชรบุรี แต่ก็ต้องทำโครงการให้ครบถ้วน แล้วก็ที่นายกฯ พูดถึงโครงการห้วยบุรี ห้วยบุรีทำตั้งนานแล้ว เป็นอ่างเก็บน้ำ ที่เก็บน้ำได้ ๓๒ ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ที่นั่นน้ำเยอะ น้ำก็ต้องปล่อยออกมา ก็มาสมทบทำให้ น้ำท่วมด้านประจวบฯ ที่ทำเขื่อนไม่ได้สูง ไม่ได้ใหญ่ เพราะว่าไม่มีเวลา

สมัยที่สร้างนั่น เป็นสมัยมีก่อการร้าย ช่างไม่กล้าจะชักช้าอยู่ที่นั่น มีช่างถูกยิงตายแล้ว แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คุ้มกันก็ถูกระเบิด ก็ไม่ใหญ่พอ แต่ทีหลังก็เข้าไปได้เรียบร้อย คนก็เข้าไป เข้าไปทำมาหากินมากขึ้น เลยลำบากในการที่จะสร้างเพิ่มเติมที่นั่น แล้วมิหนำซ้ำ ยังมีก่อการร้าย ช้าง ช้างก็อยู่ในนั่น มาก่อการร้ายพวกที่เข้าไปอยู่ในนั่น คนที่อยู่ในนั่นก็เคยเป็นก่อการร้าย ก็เท่ากับกรรมสนองกรรม คือ คนที่จะไปทำที่นั่น ไอ้ช้างก่อการร้าย มันมักจะกินสับปะรดของก่อการร้าย ตอนนี้จะทำอย่างไร เราก็ต้องทำโครงการช่วยช้าง เพื่อจะให้ช้างไม่มากินของเกษตรกรในนั่น รู้สึกว่าเกษตรกรก็เชื่อ เพราะรู้ว่าก่อการร้ายเป็นยังไง ก็เลยเป็นอันว่าตกลง ก็ต้องสร้างเขื่อนให้เก็บน้ำดีขึ้น อย่างมากที่สุดก็คือ ๒ เมตรกว่าๆ ก็หวังว่าจะดี ได้น้ำเพิ่มเติม ๙ ล้านลูกบาศก์เมตร นับว่าไม่เลว มันไม่มาก สู้ที่อื่นไม่ได้ ไม่มากแต่ว่าดีกว่าที่ไม่มี

ความจริงควรจะมีอย่างนี้ทั่วตลอด ให้สามารถที่จะเก็บน้ำแล้วก็ป้องกัน ไม่ให้น้ำมาท่วมตอนหน้าฝน หรือมีพายุเข้ามา ไม่ให้น้ำแล้ง ให้มีน้ำใช้สำหรับการกสิกรรมหรือการบริโภค เดี๋ยวนี้ทั่วโลกเขาบ่นว่าขาดน้ำๆ ในระหว่างที่บ่นว่าขาดน้ำๆ มีคนเขาตาย เพราะถูกน้ำท่วม อย่างฝรั่งเศสใต้เดี๋ยวนี้ ตายไปเกือบ ๑๐ คนแล้ว ทำไม เพราะว่าเขาไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำโครงการระบายน้ำ ระบายน้ำที่ถูกต้อง เห็นในแผนที่ เขาก็โชว์มา มันผิด แต่ถ้าแก้ไขลำบาก ลำบากเพราะว่าวิธีที่เขาทำ ถึงเป็นห่วง อย่างกรุงเทพฯ นี่เป็นห่วง ถ้าทำโครงการกั้นน้ำ ไม่ให้ท่วมกรุงเทพฯ อาจจะกำลังสนใจ คันข้างแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดกรุงเทพฯ นี่ ถ้าทำให้สำเร็จให้มีประสิทธิภาพสูงน้ำก็จะท่วม เพราะน้ำจะขึ้นสูงขึ้น เป็นหลักของชลศาสตร์

ถ้าทางระบายน้ำ หรือทางเป็นคลองแม้แต่ท่อ ถ้าแคบทำให้ต้องทำให้สูงขึ้น เพื่อให้น้ำผ่านได้มากขึ้น แต่ที่กรุงเทพฯ นี่ลำบากมาก เพราะว่าน้ำไม่อยู่ใกล้ทะเลขึ้นสูง น้ำทะเลก็ขึ้นสูง มันดุลกัน น้ำก็ท่วมออกมา มันไม่มีที่ มันไม่มีที่ที่จะอยู่ ฉะนั้น ต้องทำโครงการที่จะให้มีที่น้ำมีที่อยู่ ถึงว่ามีโครงการแก้มลิง ซึ่ง ณ ต่างประเทศเดี๋ยวนี้เขาทำโครงการแก้มลิง แม้แต่ผู้ที่เป็นต้นตำรับของโครงการป้องกันน้ำท่วม คือที่นิวออร์ลีน และกองพันทหารช่าง ก็เป็นกองพัน กองพลทหารช่างของอเมริกาที่เขาทำ มีการป้องกันน้ำท่วมที่นิวออร์ลีน ซึ่งนิวออร์ลีน เป็นเมืองที่อยู่ต่ำกว่าระดับทะเล เขาทำเขื่อนสูงเป็นกำแพงตลอดรอบ น้ำทะเลขึ้นมาละก็ไม่เข้า แต่ว่าเขาจะกั้นปิดแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ไม่ได้ เพราะว่าต้องมีทางให้เรือเข้า นี้ก็ถึง กำลังเดือดร้อน เดี๋ยวนี้มิสซิสซิปปี้ก็น้ำมันมากขึ้น เพราะทำไม ฝนตกมากขึ้น และข้างบนเขากั้นไว้หมด กั้นไม่ให้มิสซิสซิปปี้แผ่ออกไป

แต่ก็มีโครงการเหนือนิวออร์ลีน ซึ่งเป็นทางสำหรับระบายออกทะเล ไปลงแก้มลิงยักษ์ของเขา ซึ่งไม่ใช่แก้มลิง ซึ่งเป็นทะเลนั่นเอง แต่ว่าถึงเวลาน้ำลงมาเขาก็ปล่อยข้างๆ ไปข้างๆ ไปทางตะวันออก ถ้าไม่พอเขายังทำการปล่อยน้ำลงทาง ตะวันตกของเมือง ซึ่งเขาเรียกว่า เป็นคลอง เป็นซูเปอร์คลอง คือ อัดชะปาระยะ เป็นไม่ใช่คลอง เป็นที่ที่จะกว้างออกไป ปกติน้ำไม่ท่วม ขออนุญาต ใครอยากไปทำกสิกรรมที่นั่นแล้วละก็ แต่เขาไม่รับรอง ทางการไม่รับรองว่าน้ำจะไม่ท่วม พอถึงเวลาน้ำก็ท่วมบ้างตรงนั้น ไม่ท่วมนิวออร์ลีน ก็ลงมา อัดชะปาระยะนั้น แต่เดี๋ยวนี้ กำลังเดือดร้อน เพราะอัดชะปาระยะนั้น มีผักตบชวา มีอะไรพวกนั้น น้ำไม่ไหล น้ำไหลยาก

ก็ไม่ทราบว่า จะทำอะไร ถ้าอยากรู้ต้องไปถาม ต้องให้พวกเอ็มไอทีเขามาช่วย มาช่วย ช่วยเรื่องของเมืองไทย แต่ถ้าเมืองไทยไม่พยายามทำ แก้ไขสถานการณ์น้ำท่วม กรุงเทพฯ นี้จะท่วม คนเขาขู่มาหลายปีแล้ว เราก็ฟังๆ ไม่อยากพูดว่าจริง แต่ความจริงเป็นจริงได้ว่า กรุงเทพฯ นี่จะท่วม ไม่ใช่เพราะว่าดูดน้ำบาดาล ทรุดก็ทรุดแน่นอน ทรุด เพราะว่ากรุงเทพฯ นี่เป็น ที่เขาเรียกว่าเป็นพรุทั้งอัน ไม่ใช่ไม่เป็นพรุ ที่รู้ว่าเป็นพรุ อย่างสวนหลวง ร.๙ นั่น ขุดไปมันเป็นพรุ แล้วก็ดินมันเปรี้ยว ที่ทั่วกรุงเทพฯ นี่ ดินเปรี้ยว มีคนเขาซื้อดิน เพราะว่าไปค้นไปขุดดิน มาขาย

อย่างที่ที่สวนหลวง ร.๙ โหว่ๆ เพราะว่าทำไม เพราะว่ามันไปแอบขุดดินมาขาย แต่สมน้ำหน้า คนที่ซื้อดินมาปลูกต้นไม้ ต้นไม้ตายหมด เพราะมันเปรี้ยว เลยทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้ถ้าเอาดินของสวนหลวง ร. ๙ มาจ้างพระเจ้าอยู่หัว จ้างเทคโนโลยี การแก้ดินเปรี้ยว ไปเรียนที่พิกุลทอง ที่นราธิวาส พิกุลทองนราธิวาสเปรี้ยวหมด ขุดดินทำบ่อน้ำ ทำบ่อเลี้ยงปลา ปลาโดดหนีมา โดดจริงๆ ไม่เคยเจอ แม้จะปลาเงิน ปลาทอง ซึ่งทนเปรี้ยวใส่มามันก็โดด โดด เพราะว่ามันเปรี้ยว ไปปลูกดอกบัว ดอกบัวเหี่ยว เพราะมันเปรี้ยว เราก็แก้ไขจนได้ แก้ไขไม่ให้เปรี้ยว จนปลูกข้าวได้กลางพรุ ในที่เปรี้ยว คงไม่มีใครกี่คนได้เห็นว่า ดินพรุเป็นอย่างไร

เล่าให้ฟัง ดินพรุนั้น เขาขุดลงไปประมาณ ๒ เมตร ข้างบนก็สี สีแดงๆ แต่ลงไป ลงไป สีเขียว สีม่วง นั่นเป็นดินที่มีกำมะถัน กำมะถันมันโดนกับอากาศกับน้ำ กลายไปเป็นกรดกำมะถัน ลงไปเป็นกรดกำมะถัน ทางพัฒนาที่ดินเขาบอกว่า ขุดอย่างนั้นตายแน่ กลายเป็นกรดกำมะถันทำอะไรไม่ได้ปลูกอะไร ไม่ได้ เราก็นึกว่าก็ดีเหมือนกันเป็นกรดกำมะถัน ขุดดินนี้มาทำโรงงานกรด กรดกำมะถัน มาสร้างโรงงาน ทำแบตเตอรี่ เราก็เอากรดกำมะถันใส่ก็ได้ไฟฟ้า ไฟฟ้ามันหายาก ก็ดี ทำแบตเตอรี่กรดกำมะถัน

แต่ทำไปทำมา วิธีของเราทำ ภายใน ๒ ปีได้กินข้าว แต่ก่อนนี้ที่ตากใบ เป็นอำเภอที่ติดกับอำเภอเมือง แล้วติดกับเขตแดน ชาวบ้านปลูกข้าวไม่ได้ เขาปลูกข้าวดูตอนแรกขึ้นเขียว ไม่เท่าไหร่ก็เหลือง เหลืองไม่ใช่เพราะว่าสุก ข้าวสุก เหลืองเพราะว่าแห้ง ตาย มีเป็นหย่อมๆ บางแห่งที่เขียว และในที่สุดได้ข้าว ไร่หนึ่งได้ประมาณครึ่งถัง ไม่ถึงครึ่งถัง เราไปทำวิธีแก้ไข ๒ ปี เขาได้ ข้าวไร่ละ ๓๐ ถัง แล้วก็เวลาเขาชวนไป ไปดู ก็ได้เห็น ได้เห็นข้าว เขาใส่ในถุงเล็กๆ มาวางข้างทาง เราก็จอดอยู่ แล้วก็เขาก็ยกข้าวในถุงมา ใส่มันก็เต็มรถเยอะแยะ บอกว่าไว้กิน บอกไม่เอา มีถมเถ เขาขายแล้ว ได้ขาย มีกินเก็บกิน แล้วก็ขาย เพราะว่านี่เป็นเทคโนโลยีที่ท่านให้ เป็นวิชาการของการทำให้ดินเปรี้ยว ได้เป็นดินที่ใช้ได้ เราก็ทำได้

นี่เรา แต่ก่อนนี้ไม่ได้ทำ แต่ทำเทคโนโลยีมาให้ใหม่ต่างๆ เหล่านี้ เป็นเรื่องของต้องศึกษา แล้วต้องใช้จินตนาการด้วย ไม่ใช่มีในตำรา ถ้ามีตำราก็ให้มาลายูเขาทำแล้ว ข้ามฟากไปทางโน้น วิธีปลูกข้าวไม่เหมือนของเรา แต่ของเราเพิ่งพบ วิธีปลูกข้าวใหม่ในพรุ และทำให้นราธิวาส มีกินแล้วก็ขายได้ อันนี้ ที่แล้วก็ว่าจะต้องสอนให้เด็กๆ มีจินตนาการ ซึ่งตอนนั้นฝ่ายมาเลเซีย ฝ่ายมาลายูเขาก็มีเทคโนโลยีสูง เราก็ชื่นชม ชื่นชมรัฐบาลมาเลเซียว่าเขาเก่ง เขามีความสามารถ เขาฉลาด ก็จริง เขาฉลาด แต่ตอนนี้เขาปลูกข้าวไม่เป็น เขาต้องเอาคนไทยไปสอน

แต่ที่เราสอน ได้จากคนที่มีความรู้ แล้วเรียนเกี่ยวข้องการเกษตร และมาพลิกแพลงให้สามารถ ทำให้ดินมีผลิตผลได้ เพราะอันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ จะต้องสามารถเลี้ยงตัวได้ ถึงว่ามาเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง แต่ว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ให้ก้าวหน้าไปอีก ว่าไม่ใช่เพียงแต่ปลูกให้มีพอกิน ไม่ใช่ปลูกพอกินอย่างนั้น มันต้องมีพอที่จะตั้งโรงเรียน มีพอที่จะมีแม้แต่ศิลปะ ทำให้ศิลปะ เกิดขึ้นแล้ว ก็ประเทศชาติก็จะถือว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่เจริญในทุกทาง

เจริญในทางไม่หิว มีกิน คือไม่จน แล้วก็มีกิน แล้วก็มีอาหารใจ อาหารที่จะศิลป หรืออะไรอื่นๆ ให้มากๆ ความสะดวกให้สามารถที่จะสร้าง อะไรๆ ได้ นี่ก็เศรษฐกิจพอเพียง แต่เศรษฐกิจพอเพียง สำคัญว่า จะต้องรู้จัก ขั้นตอนคือ ถ้านึกจะทำอะไรให้เร็วเกินไปไม่พอเพียง แต่ว่าถ้าไม่เร็วเกินไป หรือถ้าช้าเกินไป ก็ไม่พอเพียง ต้องให้รู้จักก้าวหน้า อาจจะเร็วก็ได้ แต่ว่าให้ก้าวหน้า โดยที่ไม่ทำให้คนเดือดร้อน อันนี้เศรษฐกิจพอเพียง

ก็คงได้ศึกษามาแล้วว่า เราพูดมาตั้ง ๑๐ ปีแล้ว เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แล้วก็เศรษฐกิจพอเพียงก็ต้องปฏิบัติด้วย ปฏิบัติที่ประหลาดที่สุด ที่เริ่มต้นที่สระบุรี ที่วัดมงคลชัยพัฒนา นั่น เริ่มต้นมา ๑๕ ปีแล้ว ก่อนถึงครบอายุ ๖๐ ได้สร้างแล้ว แล้วก่อนมีมูลนิธิชัยพัฒนาด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่ใช้เงิน งบประมาณ ใช้เงินก้นถุง เริ่มต้นที่นี่ ในศาลาดุสิดาลัย มีเพื่อนฝูงบอกเอาไหม ไปซื้อที่ เพราะต่างคนให้ ๑,๐๐๐ - ๒,๐๐๐ บาท แล้วก็ เราก็ได้ไปจัดการที่ตรงนั้น ๑๕ ไร่ก่อน เมื่อนั้นเศรษฐกิจพอเพียงมันเริ่มต้น เราก็ค่อย ๆ ขยายเพิ่มขยายจนกระทั่งไปทั่วประเทศ แล้วถึงจนกระทั่งรัฐบาลสนใจ ไม่ใช่รัฐบาลให้ ก็หมายความว่า พวกที่เป็นนักเศรษฐกิจเก่งๆ สนใจ

เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง ไม่ต้องโฆษณาแล้ว เพราะว่านักเศรษฐกิจที่มีความรู้ เขาเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วจะสบายใจ ที่มาแล้วก็มาถวายพระพร ให้สบายใจ อย่างนี้ถ้าเข้าใจที่พูดที่ทำอะไรอันนี้ เป็นพรที่ดีที่สุด แล้วก็พอใจ ในเรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องข้าวเท่านั้นเอง ในเรื่องด้านปกครองทั้งหลาย ในด้านวิชาการอื่น ๆ ทั้งหลายมันก็มีพอเพียงเหมือนกัน อย่างทางโน้นพูดถึงรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ มีรัฐศาสตร์พอเพียงก็มีเหมือนกัน ถ้าไม่พอเพียงถึงใช้ไม่ได้ ทำให้เละเทะไปหมด ถ้างั้นก็เลยพูดตะล่อมให้กลับใจว่า ให้พอเพียง ไม่ใช่เศรษฐกิจ ให้พอเพียงในความคิดและทำอะไรพอเพียงสามารถที่จะอยู่ได้

แม้จะกองทัพก็ต้องพอเพียง แต่กองทัพทำอะไรพอเพียงเยอะแยะ ทำโครงการต่างๆ ที่ช่วยแล้ว ก็ที่สมควรที่จะทำแล้ว ก็ทำได้ ถ้าเรือทหารเรือ เรือ ต ๙๑ นั้น เศรษฐกิจพอเพียง แต่เดี๋ยวนี้ ต ๙๑ พัง ก็พังแล้ว แต่ว่าก็ได้รับราชการมานานพอสมควร อื่นๆ ก็ควรจะคิดถึงพอเพียง มาคงต้องพูดเพราะว่า นายกฯ มาพูด พูดเมื่อวานนี้ ที่สนามหลวงแล้วถือธง ถือธงชนะ ชนะ ไชโย นี่แหละ ทราบดีว่า นายกฯ ไม่ค่อยชอบให้เตือน เพราะว่าเตือนนี่ ใครเตือนเรา มันเคือง มันเคือง แต่จะเล่าให้ฟังเตือนนี่ สมเด็จพระบรมราชชนนี แม่เราอายุ ๔๐ – ๕๐ แล้ว ท่านมา ท่านชม อุ้ยเก่ง ทำไอ้นี่แม่ชอบ แต่ท่านต่อ ต้องต่อ อย่าลืมตัว ท่านว่าอย่างนั้น

ทุกครั้ง อย่าลืม ท่านพูดว่าอย่าลอย อย่าลอยคือ ท่านใช้คำว่าปอดลอย ลอย ลอย ลอยไอ้ขานี่ต้องอยู่บนดิน อยู่บนดิน ท่านบอกว่าชื่อลูก ชื่อภูมิพล ภูมิพลต้องเหยียบดิน ไอ้การลอยไม่เหยียบดิน เสร็จ ใช้ไม่ได้ ภูมิพลนี่ เหยียบดิน เนี่ยไม่ใช่ดิน ข้างใต้นี่พื้นดิน ถึงเดิน เดินไปบนภูเขาก็เดินบนดิน เหาะเฮลิคอปเตอร์แล้วลงมาถึงก็เดินกับดิน ท่านเตือนอยู่เสมอว่า ห้ามไม่ให้ลอย จนกระทั่งอายุเกือบ ๖๐ ท่านหยุด ท่านไม่เตือนแล้ว ท่านไม่ค่อยบอกว่าแม่ชอบ ท่านบอกว่า ถ้าทำอะไรดีให้รู้ว่าดี แต่ว่าอย่าไปเห่อมากเกินไป แต่อย่างนี้ ถึงขอโทษ ขอโทษนายกฯ หาว่า ตำหนินายกฯ ไม่ใช่ ต้องระวัง

ไอ้การชัยชนะของการปราบไอ้ยาเสพติดนี่ ดีที่ปราบ แล้วก็ที่เขาตำหนิบอกว่า เอ้ย คนตาย ตั้ง ๒,๕๐๐ คน อะไรนั่น เรื่องเล็ก ๒,๕๐๐ คน ถ้านายกฯ ไม่ได้ทำ นายกฯ ไม่ได้ทำ ทุกปี ๆ จดไว้นะ มีมากกว่า ๒,๕๐๐ คนที่ตาย ที่ตายทั้งคนที่เสพติด แล้วก็ขึ้นไป ฆ่าคน หรือทำอะไร เผาอะไรต่าง ๆ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่ต้องไปปราบปกติ ก็ตายมากเหมือนกัน แต่ไม่พูดเท่านั้นเอง ไม่ไปนับ แต่นี้เขาก็นับไปชี้ ชี้ ชี้นับ พวกที่ค้า พวกที่ทำ ก็ตายเยอะเหมือนกัน ก่อนนี้ แต่ไม่พูดถึง เชื่อว่าพอๆ กับที่ได้จดว่า มีผู้ที่ตายในการสงครามต่อสู้ยาเสพติด ที่ทราบว่าคนตาย เพราะยาเสพติดนี่ มากมาย

เพราะว่า สังเกตดูตั้งปีที่แล้ว บอกว่า ๔๐ กว่าปี ต้อง ๔๐ กว่าปีแน่ เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่พระที่นั่งอัมพรฯ ก่อน ก่อนลูกองค์นี้ อย่างน้อยลูกเกิด คนเล็กนะยังไม่เกิด ลูกคนเล็กเกิดที่พระที่นั่งอัมพรฯ แล้ว เราถึงย้ายมาที่ตำหนักสวนจิตรฯ นี่ มียาเสพติดก่อนเขา วิธีที่จะทำ ปีที่แล้วมาเล่าให้ฟัง แต่ว่าอาจจะไม่ละเอียดพอ ไม่เข้าใจ ปีที่แล้วอธิบายว่า ทำไมนึกถึงเป็นสงคราม ไอ้คำว่า สงครามเอามาจากปากคนนี้ ว่าเป็นสงคราม เพราะว่า สงคราม ๒ อย่าง สงครามการเมือง และสงครามเศรษฐกิจ สงครามการเมืองเขาใช้ยาเสพติดนี้มาก สำหรับมาบ่อนทำลายประชากรไทย รวมทั้งประชากรของประเทศ

เขาก็ได้เป็นผลพลอยได้เท่านั้นเอง ที่เขาได้เงิน แต่ที่ได้คือ ทำลาย ทำลายประชากรให้เป็นคนติดยา เป็นคนที่เขาว่า ขี้ยา คนขี้ยาคิดอะไรไม่ออก บางคนนึกว่าใช้ยานี่ทำให้แข็งแรง ทำให้มีความคิดดี แต่แท้จริงไม่ คนที่กินนั่นนะ เสพยา ตอนนั้นเป็นเฮโรอีนนะ เขาใส่ในน้ำหวาน ใส่ในกาแฟ ใส่ในน้ำแล้วก็หลอกทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ เมืองจีนเขาทำ แล้วก็ไม่ใช่คนจีนทำ เป็นฝรั่งทำ ที่นี่มีฝรั่งหรือเปล่า เดี๋ยวเขาโกรธเอา แต่ว่าเป็นความจริงว่า ฝรั่งเป็นคนใช้ยาเสพติด ทำลายเมืองจีน แต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งมีสงคราม เขาก็มีสงครามเหมือนกัน แต่ตายมากกว่า ๒,๕๐๐ คน

แล้วที่บอก ๒,๕๐๐ คน นี่ก็ไม่เชื่อ มีมากกว่า ที่เขาตายแต่เราไม่รู้ แล้วก็พวกที่ทางเจ้าหน้าที่ได้สังหาร ไม่ใช่ ๒,๕๐๐ นี่เขาสังหารกันเอง แล้วนี่เราจะรับผิดชอบได้อย่างไร เขาด่าว่า นายกฯ ทำสงคราม ทำให้คนตาย ๒,๕๐๐ คน ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ๒,๕๐๐ คน มันหมดทั้งหมด เขานับแต่ว่า พวกที่ตายเป็นส่วนใหญ่ เป็นพวกที่เขาฆ่ากันเอง พวกที่ค้า พวกที่ผลิต เขาฆ่ากันเอง จำนวนมาก ที่ทางราชการจะรับผิดชอบ ก็อาจจะมีจำนวนหนึ่ง ก็ลองถามทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปแยก จำแนกเป็นเท่าไร ก็เชื่อว่าใน ๒,๕๐๐ นี่ มากที่เขาฆ่ากันเอง แล้วก็ความผิดของเขา มาโยนความผิดให้ท่านซูเปอร์นายกฯ

ไม่รู้ล่ะก็นายกฯ สั่งให้รองนายกฯ รองนายกฯ ก็เป็นซีอีโอ แต่นายกฯ ก็เป็นซีอีโอ ซูเปอร์นายกฯ ก็โยนให้ เพราะว่าบอกว่าเป็นผู้ชนะ ผู้ชนะกลายเป็นฆ่าหมดเลย ต้องรับผิดชอบฆ่า แต่แท้จริงลูกน้องก็ต้องรับผิดชอบ คือ ที่เข้าใจ ซีอีโอไม่รับผิดชอบอะไรเลย ต้องให้รองนายกฯ รับผิดชอบ และต้องมี ๗ คนด้วย รองนายกฯ ๗ คน คือผู้รับผิดชอบ แล้วรองนายกฯ ๗ คน เขารับผิดชอบ เขาก็ผลักให้พวกปลัดกระทรวง ให้พวกรัฐมนตรีก่อน พวกรัฐมนตรีบอกไม่รับผิดชอบ ต้องรัฐมนตรีช่วยว่าการ รัฐมนตรีช่วยว่าการก็ไม่รับผิดชอบ ต้องเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีก็บอกว่า ปลัดนั่นต้องรับผิดชอบ

นายกฯ บอก แล้วปลัดไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ไม่ต้องทำอะไร รองปลัดก็รับผิดชอบหมด รองปลัดบอกมีอธิบดี อย่างนี้เป็นการบอกว่า ไม่รับผิดชอบ ไม่มีใครรับผิดชอบเลย ลงท้ายใครรับผิดชอบ ประชาชนซีอีโอ ประชาชนซีอีโอทุกคน รับผิดชอบหมด ไม่จะทำอย่างไร คือการปกครองสมัยนี้แปลกดี กลับไปเหมือนอย่างเก่า กฎหมายประชาชนรับผิดชอบหมด ตอนนี้คนที่เดือดร้อนคือข้าพเจ้าเอง เดือดร้อน ท่านรองนายกฯ มาบอกว่า ทรงเป็นซูเปอร์ซีอีโอ แล้วใช้คำอะไร จำไม่ได้แล้ว

แต่เข้าใจว่า เป็นซูเปอร์ซีอีโอ เราก็ลงท้าย เราก็รับผิดชอบทั้งหมด ประชาชนทั้งประเทศ โยนให้พระเจ้าอยู่หัวรับผิดชอบหมด ซึ่งผิดรัฐธรรมนูญนะ รัฐธรรมนูญบอกว่า พระเจ้าอยู่หัวไม่รับผิดชอบอะไรเลย นี่ท่านแถวนี้ ก็เป็นนักกฎหมาย แล้วกฎหมายก็บอกพระเจ้าอยู่หัว ไม่รับผิดชอบอะไรเลย ตกลงเราไม่รับผิดชอบประเทศชาติ เมืองไทยไม่มีใครรับผิดชอบเลย ใครจะรับผิดชอบ ลำบากอย่างนี้ แต่ว่าเชื่อว่าท่านพูดเล่น ท่านรับผิดชอบ ในที่สุดท่านก็ต้องรับผิดชอบอีก ๒,๕๐๐ คน แล้วก็ ๒,๕๐๐ คน ท่านก็ต้อง ตอนนี้จะต้องไปถามท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า จำแนกออกเป็นอย่างไร ไอ้ ๒,๕๐๐ คน แล้วจำแนกไปจำแนกมา ประกาศให้ประชาชนทราบ

ประกาศให้ชาวต่างประเทศทราบ ไอ้ ๒,๕๐๐ คน ไม่กี่คนที่ท่านรับผิดชอบ ที่ตำรวจ ทหารรับผิดชอบ หรือว่าได้ยิงได้ฆ่าเองไม่เท่าไร ไม่ถึงร้อย เราก็ที่เตือนอย่างนี้ เพื่อจะได้หายเครียด คนที่เครียดที่สุดในที่นี้ คือ รองนายกฯ เราไม่บอกว่ารองนายกฯ ไหน เหมือนข่าว เวลาข่าว รองนายกฯ ได้พูดว่า อย่างนั้นอย่างนี้ เราไม่รู้รองนายกฯ อะไร มาตอนปลายข่าวนั่นแหละ รองนายกฯ ชวลิต คือ เมืองไทยเดี๋ยวนี้ พูดอะไรเป็นปริศนาเรื่อย เดี๋ยวก็ที่ลำบาก แต่รองนายกฯ ชวลิต เดี๋ยวนี้หายเครียดนะ ไม่งั้น ตอนต้นทำหน้า ทำหน้าอย่างนี้ ดูในทีวีเหมือนทำหน้าอย่างนี้ตลอด ก็เลยทำให้เราเดือดร้อน ดูแล้วรัฐบาล รัฐบาลของพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว เขาพูดอย่างนั้น

เมื่อวาน ตอนเช้าเขาบอก รัฐบาลพระเจ้าอยู่หัว เรารับผิดชอบหมด น่าจะมีหน้าบึ้งเหมือนท่านรองนายกฯ แต่ไม่เป็นไร เรารู้ว่า อะไรเป็นอะไร ฉะนั้นก็ท่านยิ้มดีแล้ว ยิ้มแล้วก็จะได้ปรึกษาหารือกันทุกฝ่าย ตรงนี้มีท่านองคมนตรี ท่านรัฐมนตรีต่างๆ ท่านก็ขัดคอรัฐบาล ท่านขัดคอรัฐบาล ผ่านพระเจ้าอยู่หัว ท่านไม่รับผิดชอบอะไร ดูรัฐธรรมนูญ ผู้ที่รับผิดชอบคนเดียวคือ ท่านรัฐบุรุษ ท่านรัฐบุรุษ รับผิดชอบ เพราะว่า มีเวลามีองคมนตรีใหม่มา ท่านเป็นผู้รับสนอง ไม่ใช่นายกฯ คนส่วนมากเข้าใจว่า ตั้งองคมนตรีต้องเป็นนายกฯ รับสนอง ไม่ใช่ ท่านประธานองคมนตรีรับสนอง

ซึ่งก็เพราะว่าเกี่ยวข้องกับ รัฐธรรมนูญเขาว่าอย่างนั้น ผู้ที่รับผิดชอบรัฐธรรมนูญแถวนั้น ก็เป็นเรื่องแปลก เมืองไทยนี่ประหลาด วิธีปกครอง แต่ยังไงก็ตาม นายกฯ รับผิดชอบทุกอย่าง ถ้ารับผิดชอบทุกอย่าง ก็ต้องยอมรับการตำหนิ คือ ถ้าจะรับผิดชอบ ทุกอย่าง ผมอย่างหนึ่งคนเดียว ผมสั่งคนเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้นคนก็ชี้คนเดียวนะ ถ้ารับผิดชอบคนเดียว คนก็ชี้คนเดียว ฉะนั้นก็เป็นของธรรมดา แต่ถ้าทำดี เรียบร้อย ทุกคนได้รับประโยชน์ ทั้งหมดทุกคนได้รับประโยชน์ และตัวเองก็ได้รับประโยชน์ เพราะว่าทำอะไรรับผิดชอบสิ่งที่ทำดี ก็โก้ คนที่รับผิดชอบสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง อันนี้ที่สำคัญ

ฉะนั้น ไม่ต้องโกรธ ต้องภูมิใจ แต่ว่า ต้องพยายามพิจารณาว่าอะไรมันจริง อะไรไม่จริง ในที่นี้ไอ้ ๒,๕๐๐ คน จริงหรือไม่จริง อ่านหนังสือพิมพ์ เขาบอกว่า รัฐบาลทำไม่ดี ทำรุนแรงเกินไป ไปพิจารณาให้อ่านหนังสือพิมพ์ อ่านเหล่านั้น แล้วก็ให้เขาเขียน เขาเขียนหนังสือพิมพ์ เขาติ ตำหนิเราก็ฟังเขา ว่าเขาตำหนิอะไร เขาตำหนิถูกต้องก็ขอบใจเขา ถ้าตำหนิไม่ถูกก็บอกว่าไอ้นี่มันไม่ถูก เบาๆ หน่อย แต่ว่าที่เดือดร้อน คนที่เดือดร้อน คือ พระมหากษัตริย์ เดือดร้อนเพราะว่า ใครตำหนิไม่ได้ เราไม่ได้บอกนะ ท่านที่เขียนรัฐธรรมนูญบอกว่า พระมหากษัตริย์ใครตำหนิไม่ได้ ใครละเมิดไม่ได้ ทำไมเขียนอย่างนั้น ไม่ทราบ

ถ้าละเมิดไม่ได้ เราก็ไม่รู้ว่าเราทำถูกหรือไม่ถูก ก็เลย แต่ท่านไม่อยู่แล้วคือแม่ ต้องเชื่อ เราเชื่อคนเดียว เชื่อแม่คนเดียว แต่ท่านอยู่บนสวรรค์ เดี๋ยวนี้ท่านก็อยู่นี่ ท่านก็ตักเตือนอยู่ว่า ให้คิดดี ทำดี ถูกต้อง ให้โอวาทกับตัวเองเพราะว่า ไม่มีใครให้โอวาทแล้ว เราสบายใจก็เข้าใจว่า ท่านทั้งหลายอาจจะได้ยิน ได้ยิน สมเด็จพระบรมราชชนนี ท่านให้โอวาทลูก แล้วเราก็ให้โอวาทข้าราชการ ใครต่อใครที่อยู่ในที่นี้ ประชาชนทั่วไปว่าทำอะไร ถ้าทำดีก็ปลาบปลื้มกัน ถ้าทำไม่ดีพิจารณาตัวเองว่า ไม่ดี เว้นไว้ ยังมีที่ควรจะเป็น พวกนี้ก็ประชาชนเหมือนกัน พวกนี้บางคนบางทีเขาก็นึกว่าเขาไม่เป็นประชาชน จริงๆ ก็เป็นประชาชน ถูกให้โอวาทเหมือนกัน

คนเขาว่า ไม่ได้ให้โอวาท คนเขาว่า ให้โอวาทจนเสียงแหบ แล้วก็ถ้าไม่ฟังก็เป็นเรื่องของเขา เหมือนกัน ถ้าให้โอวาทท่านทั้งหลายไม่ฟัง จนเราเสียงแหบ ก็ไม่เป็นไร ท่านเดือดร้อนเอง ท่านเดือดร้อนจริง สมมติให้โอวาทแล้ว ท่านไม่ฟัง ท่านต้องเดือดร้อน แต่ว่าถ้าฟัง ไปคิด ก็เชื่อ ไม่ใช่ว่าอวดว่าพูดดี ว่าพูดถูกต้องทุกอย่าง แต่ว่าพยายามอย่างน้อยที่จะพูดให้คนคิด คำว่า ให้แต่ละคนคิดที่ดี ก็ไม่เสียหายอะไร ทำให้งานที่ท่านทำ ท่านเป็นผู้ใหญ่ผู้โต งานผู้ใหญ่ผู้โตทำก็ทำให้เกิดประโยชน์กว้างขวางไปได้

ถ้าคนไม่ได้ถือตัวว่าเป็นผู้ใหญ่ผู้โต ทำอะไรก็ไม่ได้ เกิดประโยชน์มากนัก แต่ผู้ใหญ่ผู้โต ผู้ใหญ่ผู้โต เป็นทำให้เกิดผลแก่คนอื่นมากมาย อย่างที่ตัวเองรู้สึกว่า พูดเนี่ย พูดออก มิใช่ออกทีวีไม่ได้ออก แต่ออกวิทยุ ออกวิทยุสด สดนะ ที่พูดเนี่ย ไปทั่วไปถึงนราธิวาส ไปถึงเชียงราย ไปถึงสกลนคร ไปทั่วทุกทิศ คนที่ฟังเขาฟังได้ เขาก็เข้าหูเขา เขาก็ต้องคิด คนที่ฟังเขาคิด แล้วก็คิดว่า พระเจ้าอยู่หัวพูดดีก็เอาไปใช้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ที่จริงที่พูดเนี่ยเป็นทรัพย์สิน ทางปัญญา เป็นทรัพย์สินทางปัญญาแล้วคนเอาไปหากิน ไปหากินก็ยอมให้ไปหากิน

คำพูด ถ้าเราถือว่า เราพูดดี ก็ไปหากิน ถ้าหากิน คนก็จะมีความสุข รู้สึกว่า พูดพอแล้ว มันชักเหนื่อย แต่ท่านก็เหนื่อยเหมือนกันนั่งอยู่นี่ ฟัง บางคนก็อาจจะหนาวๆ ร้อนๆ ที่เย็นที่หนาวนี่ เพราะเครื่องเย็นใช้ไฟฟ้า ที่ร้อนเพราะว่า ไฟที่นี่มันร้อน คนที่อยู่ข้างนอก หนาวๆ เย็นๆ เพราะว่า ตอนนี้ค่ำแล้ว ค่ำแล้วน้ำค้างลง ร้อนก็เพราะว่าอากาศมันร้อน ก็อย่าไปคิดอะไรว่า ที่บอกว่าท่านหนาวๆ ร้อนๆ

แต่ว่ายังไงขอให้ทุกๆ ท่านที่มา ทุกทั่วไปทุกหนแห่ง ทุกข้างนอก ข้างใน ขอให้มีความร่มเย็น ให้มีความเจริญทุกคน งานการอะไรที่ทำ ให้มีผลสำเร็จที่ดี ขอขอบใจทั้งหลายที่มา

กลับสู่ หน้าดัชนีพระราชดำรัส


สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๔๒ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๗
ห้ามนำข้อมูลของเครือข่ายนี้ ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร