The official emblem for His Majesty the King's 6th Cycle Birthday Anniversary Celebrations, 5 December 1999 Welcome to Kanchanapisek Network Kanchanapisek Network logo


ENGLISH VERSION
หน้าแรก
พระราชประวัติ
พระราชพิธีกาญจนาภิเษก
พระราชกรณียกิจ
โครงการพระราชดำริ
พระราชดำรัส
พระราชอัจฉริยภาพ
เพลงพระราชนิพนธ์
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา
สยามบรมราชกุมารี

หน่วยงาน
ในเครือข่ายกาญจนาภิเษก

หน่วยงานที่ร่วมเสนอผลงาน
เกี่ยวกับเครือข่ายกาญจนาภิเษก
ความรู้เพื่อคนไทย
Site map
Milestones
Feedback

Main Banner

พระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
พระราชทานแก่คณะบุคคล ที่มาเข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล
ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา
พระราชวังดุสิตฯ (ฉบับไม่เป็นทางการ)
วันจันทร์ที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในคำกล่าวของท่านนายกรัฐมนตรี เมื่อสักครู่นี้ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นการให้กำลังใจอย่างมาก แก่ผู้ที่พยายามอย่างยิ่ง ที่จะทำหน้าที่ตอบแทนสนองคุณแผ่นดิน บ้านเกิดเมืองนอน สนองพระมหากรุณาธิคุณ แห่งพระบรมราชวงศ์ แล้วก็สนองพระคุณแห่งพระบวรพุทธศาสนา ที่ได้ปกป้องผืนแผ่นดินนี้มาตลอดให้คนไทย เป็นคนที่เข้าใจและอ่อนโยน มีเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย

จนกระทั่งประเทศไทยขึ้นชื่อว่า เป็นบ้านเมืองที่มีความสงบสุข ทุกๆ ศาสนาอยู่เคียงกัน อยู่ด้วยกัน ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน อันนี้เป็นสิ่งที่พิเศษสุด และเมื่อมาได้ยินคำของนายกรัฐมนตรีที่กล่าวขึ้น ข้าพเจ้าก็ยิ่งซาบซึ้งใจ ถือว่าเป็นของขวัญอันประเสริฐสำหรับอายุ ๗๑ นี้ ก็ขอขอบพระคุณท่านนายกฯ และคณะรัฐมนตรีทั้งหลาย

และขอขอบใจคณะบุคคล ซึ่งเป็นผู้แทนของหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอิสระ สภาฯ สถาบัน สมาคม องค์กร สโมสร มูลนิธิ และกลุ่มพ่อค้า ประชาชนทั้งหลาย ที่มาชุมนุมพร้อมกันในวันนี้ เพื่ออวยชัยให้พรข้าพเจ้าในวันเกิด ขอขอบพระคุณ ขอให้พรอันประเสริฐทั้งหลายกลับคืนไปสู่ท่าน หมายความว่า ขอให้ท่านทั้งหลายก็มีความสุขความเจริญโดยทั่วกัน

ขอเชิญนั่งซะก่อนนะคะ เมื่อตุลาคมปีที่แล้ว ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสได้รับเชิญ ไปที่สหรัฐอเมริกา และประเทศฝรั่งเศส เพื่อไปรับรางวัลที่สหรัฐอเมริกา ด้านมนุษยธรรม ที่ฝรั่งเศส ในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุน ดูแลพิทักษ์รักษาศิลปะต่าง ๆ ของประเทศไทย และของโลกให้ดำรงอยู่กับโลก ซึ่งข้าพเจ้าภาคภูมิใจมากที่สุด และก่อนจะไป บังเอิญเรือใบทองคำ ที่เป็นฝีมือของชาวศิลปาชีพสำเร็จมา

ข้าพเจ้าก็อดไม่ได้ในความปลื้มปีตินี้ เพราะว่าเป็นฝีมือของเด็ก ๆ ที่ยากจน ๗๓ คน สมาชิกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพสร้างขึ้น เป็นการแสดงฝีมือการทำทองคำทุกๆ ชนิด อย่างใบก็เป็นทองคำสลัก แล้วก็มีหลังคาที่แปลกมาก เรียกว่าอะไรนะ ๗๑ หูไม่ค่อยดี บนหลังคาเรียกว่าอะไร ศาลาเล็ก ๆ นั่นนะ เป็นการทำคร่ำทอง หมายความว่า การสลักเอาเส้นทองคำลงไปในเหล็ก แล้วก็มีการลงยา แล้วก็ถมทอง

ฝีมือต่างๆ ที่เกี่ยวกับการทำทองคำ เรือใบลำนี้ เป็นเรือใบในรูปแบบของเรือใบสมัยโบราณ ในเรื่องพระมหาชนก เมื่อมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพทำเสร็จขึ้นมา ก่อนที่ข้าพเจ้าจะต้องไปต่างประเทศเพียงวันเดียว ข้าพเจ้าก็ดีใจเอะอะ รีบให้โทรถึงท่านนายกรัฐมนตรี อดปลื้มความปลื้มบังคับไม่อยู่ ขอให้ท่านนายกฯ รีบมาดูเร็วมาดู ฝีมือศิลปาชีพ ที่ข้าพเจ้าจะเอาไปต่างประเทศด้วย เพราะว่าสวยงามซะเหลือเกิน

เด็กชาวบ้าน ๗๓ คน ต้องเรียกว่าเขาเป็นศิลปินของชาติไทย แปลว่าช่างทองคำหลวง ท่านนายกฯ ก็ดีแสนดี ไม่ได้รู้ล่วงหน้าก่อน ก็อุตส่าห์มาดูให้ ท่านนายกฯ ก็ชมบอกว่าสวยมาก ซึ่งข้าพเจ้าก็บอกว่า ฉันจะเอาไปด้วยล่ะ ไปที่สหรัฐอเมริกา ก็เอาไปตั้งแสดง วันที่เชิญเลี้ยงตอบของผู้ที่เลี้ยงดูข้าพเจ้า เพื่อนชาวอเมริกันทั้งหลายทุกคน ก็ตะลึงงันกันทั้งนั้น ฝีมือทำทองต่างๆ เขาก็บอกว่าฝีมือคนที่ทำ จบจากมหาวิทยาลัยทางด้านศิลปะหรือเปล่า

ข้าพเจ้าบอกว่า เปล่าเลย เป็นลูกชาวนาชาวไร่ที่ยากจน เขาบอกอะไรกัน ลูกชาวนาเหรอทำอย่างนี้ได้ เพราะว่าสวยซะเหลือเกิน สวยระดับโลก สวยมาก ข้าพเจ้าบอกว่า เป็นลูกชาวนาชาวไร่จริงๆ สิ่งนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าภาคภูมิใจ ที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย ได้เกิดมาในพระบวรพุทธศาสนา และได้เกิดมาอยู่ในตำแหน่ง ที่จะรับใช้ชาติบ้านเมือง รับใช้ประชาชนคนไทยทั้งหลาย อย่างน้อยให้เขาได้รับความสุขโดยทั่วไป

ข้าพเจ้าเองได้ไปเห็นชาวบ้านต่าง ๆ แล้ว ก็เห็นว่าเขาทำงานหนักมาก แต่ก็ไม่เคยทราบเลยว่า คนไทยสามารถเป็นศิลปินแห่งชาติได้ จนกระทั่งศิลปาชีพเจริญขึ้นมาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะลูกหลานของชาวไร่ ชาวนา ได้บอกชาวต่างประเทศ ไม่มีนักเรียนมหาวิทยาลัยทางศิลปะอะไรเลย เป็นชาวบ้านจริงๆ เขาไม่อยากจะเชื่อ เพราะสวยเหลือเกิน มายืนดู โอ้โห วงใหญ่เบียดกันแน่น

ซึ่งข้าพเจ้าก็คิดว่า อันนี้เป็นความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง ของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ที่ได้เห็นได้เฟ้นเอาเพชรต่างๆ ของไทยออกมา ขัดเกลา แล้วทำให้เขาได้มีโอกาส มีวาสนา ได้แสดงฝีมือความเก่งของเขาขึ้น จริงๆ แล้ว ประเทศไทยของเรานี้ เพียบพร้อมไปด้วยคนที่มีความสามารถในแผนกต่างๆ ขอให้ได้โอกาสเท่านั้นเอง เมื่อได้โอกาสแล้ว เขาก็สามารถที่จะแสดงออกมาเต็มที่ ว่าเขาเป็นคนไทยที่มีความสามารถ

และข้าพเจ้าซาบซึ้งในท่านนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล ที่ได้สนับสนุนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพมาตลอด ก็เท่ากับให้ชีวิต ให้โอกาสแก่คนไทยเป็นจำนวนมาก ได้มีโอกาสแสดงความสามารถของเขา ให้แก่ประเทศชาติ เป็นกำลังของประเทศชาติ ท่านนายกฯ ก็รีบมาดูเรือ แล้วก็รู้สึกเอาใจช่วยข้าพเจ้า ที่จะแบกไปที่อเมริกาไปตั้งโชว์ ไปที่ฝรั่งเศส ก็ไปตั้งโชว์ เพราะข้าพเจ้าก็ไปรับรางวัลที่ประเทศฝรั่งเศส ในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุน ปกปักษ์รักษาศิลปะที่งดงามต่าง ๆ ของโลก ไม่ให้สูญหายไปจากโลกนี้

ก็ได้รับรางวัล ซึ่งเป็นคล้าย ๆ เหรียญทองคำ เป็นแผ่นทองคำมากกว่า แกะสลักสวยงามมาก และได้โล่ด้วย บัดนี้ ท่านก็ได้เห็นฝีมือของเพื่อนคนไทยเราด้วยกัน ศิลปาชีพขณะนี้ มีสมาชิกทั่วประเทศประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ กว่าคน และข้าพเจ้าก็พยายามอย่างยิ่ง ที่จะให้เขามีกำลังใจ เพราะเวลาที่เสด็จแปรพระราชฐาน ไปที่ทางด้านอีสาน ที่สกลนคร ข้าพเจ้าก็ชักชวนชาวบ้าน บอกว่าทั้งอีสานมาช่วยกันทำวันส่งเสริมไหมกัน เพราะอีสานขึ้นชื่อมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แล้วว่า เขาเป็นผู้ที่ปลูกหม่อนและเลี้ยงไหม สาวไหม ฝีมือของเขาขึ้นชื่อมานานแล้ว

ตกลงก็ทำสำเร็จ ส่งเสริมวันไหมขึ้นที่จังหวัดสกลนคร ราวๆ เดือนพฤศจิกายน และข้าพเจ้าก็พยายามเชิญเพื่อนฝูงที่เป็นชาติต่างๆ มาร่วมกัน มาดูงานวันนั้นก็มีมากขึ้นทุกที ต่างชาติหลายประเทศ ก็อยากที่จะมา มาดู และประกอบกับเราทำในป่า เป็นสวนป่าหน่อยๆ ดั้งเดิม ก็เลยสวยงามมาก และก็มีอาจารย์ทางศิลปากร อาจารย์สมิทธิ ช่วยจัดสวนป่านั่น ให้เป็นที่แสดงผ้าไหมไทยหลายประเภทของชาวอีสาน

แล้วคนก็แน่น ชาวบ้านก็แน่น มาแสดงทอให้ชาวต่างประเทศดู แสดงการสาวไหมให้ดู เวลานั่นเลย สาวไหม ทอไหมต่างๆ ให้ชาวต่างประเทศต่างๆ ได้เห็นกับตา แล้วเสร็จแล้วก็มีการขายไหมต่อ โดยศิลปาชีพก็ขาย ชาวบ้านก็เอามาขายด้วย นับว่าเป็นวันที่สนุกสนานมาก ชาวต่างประเทศก็เตรียมเงินเตรียมทองมา เพื่อจะมาซื้อไหมที่เขาเห็นว่าทำกันสดๆ ร้อนๆ

วิธีทำเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าให้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ในหมู่ชาวต่างประเทศว่า เป็นวัน "Silk Festival" ภาษาไทยก็คือ วันส่งเสริมไหมไทย เสร็จแล้วก็มีการรับประทานอาหารค่ำร่วมกัน ชาวบ้านอำเภอต่างๆ หมู่บ้านต่างๆ ก็แสดงการฟ้อนรำของชาวภาคอีสาน และเสร็จแล้ว เขาก็ไปโค้งผู้หญิงสาวๆ รำวงกับชาวต่างประเทศต่างๆ ก็สนุกสนานกันดี รู้สึกท่านนายกฯ ก็โดนโค้งด้วย รู้สึกสนุกกันหมด

ทูต ต่างแสดงลวดลายการรำวงกับชาวบ้าน ชาวบ้านก็สนุก ชาวต่างประเทศก็สนุก ข้าพเจ้าเองก็สนุก รู้สึกเบาใจ ได้เห็นว่างานนี้ทุกคนชื่นชมทั้งนั้น ข้าพเจ้าต้องไม่ลืมว่า วันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงเปิดโทรทัศน์ฟังอยู่ที่ข้าพเจ้าพูด แล้วท่านก็รับสั่งบอก นี่พอแล้วนะ ไอ้เรื่องป่ากับน้ำมัน นานมาแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว บางทีท่านก็ทรงชม บางทีท่านก็บอก โอ๊ยนี่มากเกินไป พอแล้วหลายปี

ข้าพเจ้าเป็นกลัวที่สุด ที่ท่านทรงติดตาม อย่างไปต่างประเทศก็ยังทรงตาม ติดตามไปฟังภาษาอังกฤษ ที่ข้าพเจ้าพูด เวลาไปอ่าน ได้รับรางวัลแล้ว ก็มีการอ่าน ตอบอะไรอย่างนี้ ก็รับสั่งว่า ไอ้ตรงนั้นมันไม่ดี ตรงนี้ไม่ดี เพราะฉะนั้น ประหม่าก็ตอนนี้ ตอนทรงฟังอยู่ ขนาดเรื่องป่านี่ ก็พูดนานมากหลายหน ก็ยังไม่ค่อยได้ผลเลย จริงมั๊ยคะท่านนายกฯ ไม่ค่อยได้ผล ป่าจะหมดลงๆ ข้าพเจ้าก็บ่นมาทุกปีเลย ยังไม่ได้ผลอะไร

ตอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงไม่ค่อยสบาย ตอนนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ ว่าทรงเจ็บมาก ที่ทรงเป็น Hernia เป็นไส้เลื่อน ก็ทรงปิดไม่ได้รับสั่งอะไร ทรงเจ็บ ก็ไม่ได้เสด็จมาหลายปี ข้าพเจ้าก็ไปตามจังหวัดต่างๆ ภาคต่างๆ เอง พอไปทางภาคใต้ ชาวบ้านก็มาปรับทุกข์ อย่างที่เค้าเคยปรับทุกข์ กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เค้าบอกเดี๋ยวนี้ เค้าเป็นชาวประมง แต่เดี๋ยวนี้จับปลาไม่ค่อยได้ ออกไปจับก็ได้นิดเดียว ขายได้นิดเดียว รายได้ก็ตกต่ำยากจน

ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า เข้าใจว่าคนเรานี่เกิดมากขึ้น ปลาก็ถูกกินมากขึ้นทุกทีๆ แล้วบางครั้ง การที่น้ำเสียหรือทิ้งของต่างๆ สกปรกลงไปในแม่น้ำลำคลองมาก ๆ หรือทะเลมาก ๆ ปลาก็สูญพันธุ์ไปไม่ใช่น้อย อย่างหนังสือพิมพ์ รู้สึก นิวส์วีค เมื่อเร็วๆ นี้ เค้าก็พูดถึงว่าท้องทะเล มหาสมุทร ต่างๆ นี่ กำลังจะตายไป เค้าใช้คำว่า "The Ocean are dying" กำลังตายไป เพราะว่าพวกเราคนในโลก ก็มากขึ้น ก็ทิ้งของสกปรกต่างๆ ลงไป

สัตว์น้ำต่างๆ มันทนไม่ได้ มันก็ตายไป สูญเป็นพันธุ์ๆ ไป พันธุ์ต่างๆ สูญไปเยอะแยะ เค้าก็มีความวิตกห่วงใย ข้าพเจ้าก็ไปพบชาวบ้าน ก็ไปสอนเค้าว่า ของอะไรทั้งหลาย ก็อย่าทิ้งขว้างลงไปในแม่น้ำลำคลองนักสิ พอดีเค้ามาปรารภ เรื่องที่ว่าเค้าจับปลาไม่ค่อยได้ เค้าเป็นชาวประมง แล้วก็ยากจน ข้าพเจ้าก็เลยประชุมคณะกรรมการ ที่ตามเสด็จไปตามภาคต่างๆ

ตอนนั้นก็มีคุณปลอดประสพ ดร.จรัลธาดา มีหลายคนช่วยกันคิด บอกก็ลองคิดทิ้ง เค้าเรียกอะไรนะ ปะการังเทียม ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้เรื่อง ทิ้งปะการังเทียมลงไปในน้ำ ก็จะทำให้มีปลามากขึ้น ก็ช่วยกันทุกๆ แผนกก็ช่วยกัน ทางกรมรถไฟ ทางรถไฟก็ช่วย ทางทหารเรือก็ช่วย ทิ้งของลงไปอย่างเรือเก่าๆ และอะไรอีกนะ มีผู้ช่วยอยู่ข้างหลัง มีรถไฟคันเก่าๆ เค้าก็เอามาถวาย ก็ทิ้งลงไปในน้ำ แหมได้ผล

ไม่เคยคิดเลย จะได้ผลอย่างนั้น ไม่ถึงปี ปลาต่างๆ ก็เริ่มเข้ามา แทนจะหนีไปในทะเลลึกหมด ก็เริ่มเข้ามาที่เราทิ้งปะการังเทียมต่างๆ ทำที่จังหวัดปัตตานี นราธิวาส ปัตตานี ทำมาก แล้วก็เฝ้าดูผลกัน ปรากฏว่าผลได้ดีมาก แล้วพอไป ชาวบ้านก็บอกว่า จับปลาได้ เกิดปลาเล็ก ปลาน้อย ปลาต่างๆ ในที่ที่ไม่เคยมีปลา เพราะไม่อย่างนั้นเค้าเรือเล็ก เรือประมงเล็กๆ อย่างชาวบ้าน ถ้าจะออกไปท้องทะเลลึก ก็ไปไม่ไหว กลัวอันตราย

คราวนี้ตั้งแต่ทิ้งปะการังเทียมนี่ ปลาต่างๆ มันมามากขึ้นทุกที ชาวบ้านก็เป็นอันว่าสบายใจ ได้จับปลาได้พอมีพอกิน เค้าก็มาขอบใจข้าพเจ้า แล้วจังหวัดต่าง ๆ ก็มาต่อว่า ว่าเอ๊ะ ทำไมไม่ไปช่วยจังหวัดโน้น จังหวัดนี้ ข้าพเจ้าเองก็อยากจะแข็งแรงมากๆ อย่างผ่านพระปฐมเจดีย์ จะไปหัวหิน ก็อธิษฐานว่า ขอให้แข็งแรงต่อไป เพื่อที่จะได้ออกไปช่วยราษฎร อย่างที่ทำอย่างนี้ เพราะเค้าก็ยังยากจนอยู่ อยากจะให้แข็งแรง แล้วได้ออกไปช่วยอย่างสม่ำเสมอ

อย่างเวลาที่ไปทางภาคเหนือ ก็พวกที่มาขอความช่วยเหลือ ก็คือชาวเขาเผ่าต่างๆ เค้าบอกว่าเค้าเนี่ยไม่อยากปลูกฝิ่น แต่ขอให้พ่อหลวง แม่หลวง คิดหาทางทำมาหากินให้เค้าหน่อยเถอะ เพราะเขาเกิดมา พ่อแม่เขาก็ปลูกแต่ฝิ่น เขาก็ไม่รู้จะทำอะไร เมื่อหยุดปลูกฝิ่นแล้ว เขาไม่รู้จะหากินยังไง ข้าพเจ้าก็เห็นใจ ขนาดแกปลูกฝิ่น แกก็ยังจน จ๊น จน และก็ตายอายุสั้นทั้งนั้นเลย อายุ ๔๐ กว่าก็ตายแล้ว เพราะว่าข้างบนมันหนาวจัด และแกยากจน

และกระต๊อบของเขาเป็นรูโหว่ พรุนไป งานการก็ไม่มีที่จะทำ ทำไร่ก็ไร่ฝิ่น ไร่ข้าวก็พอมีพอกินเท่านั้นเอง จะขายก็ไม่ได้ ข้าพเจ้าเลยสัญญากับเขาว่า จะลองพยายามหาฟื้นฟูอาชีพต่างๆ ให้เขา ถ้าเผื่อเขาสัญญาว่า จะเลิกปลูกฝิ่น จะช่วยเขา ตกลงช่วยกันคิดกัน คิดว่าจะทำเกี่ยวกับอาหาร เพราะอ่านตามไทมส์ นิวส์วีค ฟาร์อีสเทิร์นอีโคโนมิก เขาก็เป็นห่วงกันว่า คนในโลกเกิดมาก แต่ว่าการผลิตอาหารมันยังไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นช่วยกันผลิตอาหาร คล้ายๆ ทำธนาคารอาหารขึ้น ในประเทศไหนที่ทำได้ ก็ให้ทำขึ้น

ข้าพเจ้าก็เลยไปปรึกษา ก็ไปซื้อที่ต่างๆ ทำโครงการฟาร์มตัวอย่าง ๘ แห่ง ทั่วประเทศไทย อย่างบนเขาซื้อฟาร์มตัวอย่าง ให้เลี้ยงอะไรสารพัดต่างๆ แล้วก็จ้างชาวเขาทุกเผ่า จ้างชาวบ้าน มาทำงานในโครงการฟาร์มตัวอย่าง ทีแรกข้าราชการ ข้าราชสำนักบอกข้าพเจ้าอย่างภาคภูมิใจว่า แม้เขาซื้อฟาร์มถวาย ซื้อที่ดินถวาย สำหรับทำฟาร์มตัวอย่าง ทำได้ดี ใช้คนแค่ ๔๐ คน โอ๊ย ทำได้ปร๋อเชียว ข้าพเจ้าดุเขา บอกไม่ได้ ที่ฉันทำฟาร์มตัวอย่างขึ้น เพื่อสอนชาวบ้าน เพื่อให้สะสมอาหารเพิ่มขึ้น จะได้ไม่มีปัญหาในเรื่องอาหารการกิน และทำโครงการฟาร์มตัวอย่าง

อย่างที่สองก็คือ ต้องการให้ทุกๆ คน ที่ข้าพเจ้าพบปะ ได้มีอาชีพ ได้มีทางทำมาหากิน คือ รับเขาเข้ามาแล้ว ก็จ่ายเงิน ให้เขาเป็นลูกจ้างในฟาร์มตัวอย่าง ในเวลาเดียวกัน เขาก็เห็นวิธีเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงแกะ เลี้ยงอะไรทั้งหลายแหล่ ชาวบ้านก็ได้เห็น แล้วก็ได้เงินทุกวัน เพราะได้ค่าจ้างทุกวัน ข้าพเจ้าบอกว่า ต้องการคนงานมากๆ เพื่อให้ชาวเขาเหล่านี้ได้มีงานทำ ได้เลิกปลูกฝิ่นเด็ดขาด พอทำงานในฟาร์มตัวอย่าง ต่อไปถ้าเขาจะแยกตัวออกไปทำเลี้ยงสัตว์ต่างๆ ทำฟาร์มของเขาจะเป็นผลดี เขาได้มาฝึกทำที่นี่แล้ว ได้พยายามสนับสนุน เกี่ยวกับเรื่องป่าชายเลน ได้กลับมาป่าอีกหน่อย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สอนข้าพเจ้าเสมอว่า ป่าชายเลนให้ช่วยกันระวังรักษา เพราะว่าป่าชายเลน เหมือนสถานอนุบาลของสัตว์น้ำเล็กๆ ตอนที่เขายังเล็กๆ เขายังไม่สามารถเลี้ยงตัวได้ การที่มีป่าชายเลน ก็ทำให้เขาเลี้ยงตัวได้ และรอดชีวิตเป็นปลาใหญ่ขึ้นมา เป็นกุ้งใหญ่ ปูใหญ่ เจริญเติบโต เป็นอาหารของมนุษย์ต่อไป แต่ถ้าไม่มีป่าชายเลนแล้ว พันธุ์ปลา พันธุ์กุ้ง พันธุ์ปู ก็คงจะค่อยๆ สูญไป เพราะเท่ากับเป็นสถานอนุบาล นี่เป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสอนข้าพเจ้าไว้ ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาสนับสนุนป่าชายเลน และป่าต่างๆ

อย่างชาวบ้าน เขาเห็นข้าพเจ้าเป็นพระราชินี เขาก็ไม่มีอะไรปกปิด เขาก็มาเล่าบอกว่า แหม ฉันนี่บุกป่า หมายถึงป่าสงวน บุกป่าเข้าไป เดี๋ยวนี้มีที่ดิน ๕๐ ไร่ นี่บุกป่า ฉันก็ดูในประวัติของเขา ข้าพเจ้าดูในประวัติ เห็นเขาทำไร่ทำนาเพียง ๕ ไร่ แต่เขามี ๕๐ ไร่ เขาบอก เขาบุกเข้าไปได้ ๕๐ ไร่ แต่เขาทำได้ ๕ ไร่ ก็ถามว่า อ้าวบุกเข้าไปตั้ง ๕๐ ไร่ ทำไมทำแค่ ๕ ไร่ ก็บอกว่ามันไม่มีน้ำสิคุณแม่ มันไม่มีน้ำ ถึงได้ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่ ๕ ไร่

ข้าพเจ้าเลยเลคเชอร์ไปว่า เนี่ย ขืนบุกป่าต่อไปอีกมากๆ น้ำก็จะน้อยเข้าๆ ทำอะไรไม่ได้เลย เข้าใจไหม ยิ่งบุกป่า ทำลายป่ามากเท่าไหร่ น้ำใต้ดิน น้ำฝนอะไรก็จะลดน้อยลงไป ข้าพเจ้าดุเขา เขาก็บอกว่า อ้าวไม่รู้นี่คุณแม่ ไม่รู้มันเป็นแบบนั้นนี่ เขาอยากได้ที่ เขาก็บุกป่า เขาสารภาพมา เล่าให้ฟังอย่างเบิกบาน บอกทีหลัง ให้รู้ไว้นะว่า การที่ทางการเขาสงวนป่าเอาไว้ ก็เพื่อความสมดุลของธรรมชาติ เพราะว่าทุกครั้งที่มีพายุ มีฝนอะไรมา ต้นไม้ต่างๆ จะดูดน้ำเข้าไว้ที่ลำต้น และใต้ดิน และจะกลายเป็นน้ำบาดาล เป็นประโยชน์แก่พวกเราเอง นี่ถ้าเผื่อเราตัดป่า เพื่อจะเอาที่ดิน นี่ข้อพิสูจน์ ตัดป่า ๕๐ ไร่ ไม่มีน้ำ ทำได้แค่ ๕ ไร่ ก็มีแค่ ๕ ไร่ นี่เอง

เขาก็บอกว่า ถ้าพูดอย่างนี้ ก็เข้าใจสิคุณแม่ ไม่ได้บอกอะไรนี่ ก็นึกไอ้เรายากจน ไหนๆ บุกแล้วก็บุกให้มันเยอะๆ ไปเลย เขาก็ซื่อๆ น่ารัก ทีนี้เขาก็ฟิตกัน เป็นสมาชิกรักษาพันธุ์ไม้ ทั้งป่าชายเลน ทั้งป่าต่างๆ ชาวบ้านตั้งขึ้นเอง เข้มแข็งมาก เขาช่วยกันตรวจ ช่วยกันดูแล เพราะว่าเขาทราบแล้วว่า ป่าคือแหล่งน้ำ ข้าพเจ้าเคยได้ไปตามเสด็จฯ ไปประเทศลาว และพบปะคณะรัฐบาล คนสำคัญของประเทศลาว เขาถามข้าพเจ้าแบบเพื่อนกันว่า เมืองไทยผู้สำเร็จการศึกษามาเป็นดอกเตอร์ เดินกันเยอะแยะไปหมด แต่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่า ดอกเตอร์เยอะแยะ แต่ทำไมตัดป่าตัวเองเสียเหี้ยนเต้ไปหมด ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ

มีบุคคลสำคัญมาถาม เขาไม่รู้เหรอว่า ป่านี่เป็นแหล่งน้ำ และทำไมเขาตัดกันเหี้ยนเตียน แต่เขาก็เป็นดอกเตอร์กันเยอะแยะมากกว่า คนลาวเยอะแยะเชียว ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบจะตอบอย่างไร และเธอก็บอกว่า อย่างลาวพยายามรักษาป่าไว้ เพราะห่วงเรื่องน้ำใต้ดิน และฝนฟ้า ที่จะตกต้องตามฤดูกาล ก็พยายามรักษาป่า และคนไทยก็ยังข้ามไปที่ฝั่งลาว จะไปตัดป่าลาวอีก อันนี้คนสำคัญลาว เขาฟ้องข้าพเจ้า บอกทำไมดอกเตอร์ต่างๆ ไม่อธิบายให้คนเขาทราบว่า ป่าสำคัญอย่างไร ข้าพเจ้าบอกเขาก็คงอธิบายแล้ว แต่ที่จะให้ประชากรจำนวนมากเข้าใจหมด คงต้องใช้เวลาหน่อย

ก็อธิบายให้ท่านฟังกัน เป็นภรรยาประธานาธิบดีถามเอง บอกคนไทยนี่แปลก นึกว่าการศึกษาสูง แต่โค่นป่าของตัวเสียเตียนหมดเลย และยังมาตัดลาว ข้ามไปตัดป่าที่เขมร เขารู้หมด และขณะนี้ เขายังเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์อยู่ เขาพูดเลย เขาก็พูดตรงๆ แล้วเธอก็บอกว่า ก่อนที่ท่านจะมา ฉันก็ใจไม่ดีเหมือนกัน เพราะไม่เคยชอบพระเจ้าแผ่นดิน กับพระราชินี ไม่เคยชอบเลย แต่ว่ามาคราวนี้ เอ มารู้จักพระเจ้าอยู่หัว มารู้จักยูแล้ว เอ ต้องบอกว่าชอบมากๆ เชียว ก่อนจะกลับก็มีน้ำตาไหลด้วย รักกัน แต่เขาเป็นคนพูดตรงๆ เค้าไม่มีการพูดมาก เหมือนอย่างพวกเราด้วยซ้ำ พูดอะไรก็พูดไปตรงๆ อย่างนั้น

กลับไปพูดถึงวันหม่อนไหมที่สกลนคร ชาวต่างประเทศที่ข้าพเจ้าเชิญมาเพิ่มมากขึ้นทุกปี บอกชอบเหลือเกิน เห็นงานนี้แล้ว สวยงามเป็นธรรมชาติ มีในป่า และได้ไปเห็นแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแม่น้ำที่สำคัญของเอเชีย เป็นแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงคนหลายชาติ เพราะฉะนั้น เขาตื่นเต้นมาก ไปอยู่ที่สกลนคร และข้าพเจ้าก็จัดให้เขาอยู่ที่นครพนม มีโรงแรม ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ก็ได้ช่วยสนับสนุนมาตลอด ชาวต่างประเทศก็ชอบมาก เพราะทางจังหวัดนครพนม ได้แสดงทางประเพณีวัฒนธรรม การลอยกระทง ไหลเรือไฟ และยังมีการปล่อยลูกปลาบึก ที่กรมประมงของเราเพาะพันธุ์ได้ ลงสู่แม่น้ำโขง

ของเหล่านี้ เป็นที่ประทับใจของชาวต่างประเทศมาก ปีนี้เขาจองกันอีกว่า จะต้องไปเฝ้าที่สกลนคร เดือนพฤศจิกายน วันที่ ๒๐ กว่าๆ สนุกสนานมาก ข้าพเจ้าเองก็สนุก แต่เหนื่อยมาก เพราะต้องส่งภาษาฝรั่งอยู่ตลอด ภาษาฝรั่ง ก็ไม่ได้ไป นานๆ ไปครั้ง ก็ไม่ค่อยจะคล่องแล้ว แหมซ้ายขวาหน้าหลัง ต้องส่งภาษาฝรั่งตลอด แต่เขาก็เบิกบานกัน เขาชอบตอนรำวง คราวนี้ก็หวังว่านายกฯ จะไปรำวงกันอีก

และทุกๆ ท่าน ใครที่ไปได้ ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เคยไปรำวงบ้างหรือยัง และก็กองทัพเรือด้วย กองทัพอากาศ กองทัพเรือ รู้สึกเขาจะไปกันเสมอ ถ้าใครว่างก็เชิญไปดูได้ สนุกสนาน และฝรั่งแหม่ม ก็พยายามวาดลวดลายรำวงกัน รู้สึกชอบมาก

ข้าพเจ้าก็จะขอจบการพูด ขอลาท่านทั้งหลาย และขอบอกว่า ข้าพเจ้ามีความซาบซึ้งในน้ำใจของทุกๆ ท่าน ที่มาให้กำลังใจในปีที่ ๗๑ และหวังว่าปีที่ ๗๒ จะมาให้กำลังใจต่อไป จะได้แข็งแรง แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งลับหลังข้าพเจ้า บอกไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เพราะอายุตั้งป่านนี้แล้ว แต่วิ่งพลั่กๆ มาตลอด แต่ผ่านนครปฐม ก็ขอกำลังใจ ขอแรงจากสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

ก็ขอขอบพระคุณทุกท่านมาก กุศลกรรมต่างๆ ที่ข้าพเจ้าทำ ก็ขอให้ทุกท่านประสบความสุขกาย สุขใจ มีอายุมั่นขวัญยืน ทุกประการ

กลับสู่ หน้าดัชนีพระราชดำรัส


สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๔๒ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๗
ห้ามนำข้อมูลของเครือข่ายนี้ ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร