The official emblem for His Majesty the King's 6th Cycle Birthday Anniversary Celebrations, 5 December 1999 Welcome to Kanchanapisek Network Kanchanapisek Network logo


ENGLISH VERSION
หน้าแรก
พระราชประวัติ
พระราชพิธีกาญจนาภิเษก
พระราชกรณียกิจ
โครงการพระราชดำริ
พระราชดำรัส
พระราชอัจฉริยภาพ
เพลงพระราชนิพนธ์
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา
สยามบรมราชกุมารี

หน่วยงาน
ในเครือข่ายกาญจนาภิเษก

หน่วยงานที่ร่วมเสนอผลงาน
เกี่ยวกับเครือข่ายกาญจนาภิเษก
ความรู้เพื่อคนไทย
Site map
Milestones
Feedback

Main Banner

พระราชดำรัส
พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิตฯ
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒

VIDEO

ปีที่แล้วในโอกาสเช่นนี้ ได้ขอบใจท่านทั้งหลาย และผู้ที่มาในงานนี้ ทั้งข้างนอกทั้งข้างในว่าขอขอบใจที่ได้มาอวยพรปีใหม่ ที่จริงก็เกินไป แต่ยังไงก็ได้แก้ตัวว่าเป็นการอวยพรปีใหม่ของผู้พูด คืออีกปีหนึ่งที่ผ่านไปแล้ว ตอนนี้จะต้องขอบใจท่านที่ได้มาอวยพรในการที่ได้ผ่านไป ๖ รอบ แต่ความจริงการที่บอกว่าอวยพรหรือให้ความยินดีที่ผ่านไป ๖ รอบ ก็ไม่ค่อยถูกนัก ควรจะเป็นมาอวยพรในการขึ้นต้นรอบที่ ๗ ซึ่งก็จะเป็นคน และจะได้ให้ตอบสนองได้ว่าขอให้ท่านทั้งหลาย มีความสุขความเจริญความสำเร็จในรอบต่อไป

และในการนี้ ก็ต้องขออวยพรปีใหม่ เพราะว่าใกล้ปีใหม่เต็มที ให้แต่ละท่านได้รับความเจริญความสำเร็จมีพลานามัยแข็งแรงต่อไป ที่ต้องให้อวยพรอย่างนี้ ก็เพราะว่าปีใหม่ที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่วันนี้ เขาถือว่าเป็นปีที่ประหลาด เป็นปีที่พิเศษ แต่ว่าส่วนมากปีหน้าเป็นปี ๒๕๔๓ ก็ไม่มีอะไรแปลกประหลาดเลย มันก็ผ่านไปอีกปี เริ่มต้นอีกปี ไม่มีอะไรเป็นพิเศษใดๆเลย เพียงแต่เป็น ๒๕๔๒ บวก ๑ ก็เป็น ๒๕๔๓ แต่ว่าทุกคนเครียด เพราะปีที่ผ่านมานั้น เป็นปีที่ค่อนข้างจะมีความเครียด อันนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้จะผ่านปี จะขึ้นปีใหม่นั้น เป็นสิ่งที่เกรงกลัวกันว่าจะเครียด ว่าจะลำบากต่อไป ซึ่งก็อย่างที่ว่าปีหน้าก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเป็นปี ๒๕๔๓ แต่ว่าที่เครียดกันเพราะว่าปี ๒๕๔๓ นับเป็นปีพุทธศักราช ถ้านับเป็นปีคริสตศักราชเป็นปี ๒๐๐๐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สวย แต่ตัวเลขที่สวยนั้นกลัวกันมาก กลัวกันมากเพราะเหตุใด เพราะว่าเกี่ยวข้องกับวิทยาการแผนใหม่ โดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับเรื่องของคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นของสมัยใหม่ และส่วนมากเดี๋ยวนี้ก็สนับสนุนให้ศึกษาคอมพิวเตอร์ และศึกษาวิทยาการสมัยใหม่

คอมพิวเตอร์นี้ที่กลัวกันมากเพราะว่าคนที่สร้างคอมพิวเตอร์ หรือออกแบบคอมพิวเตอร์ตอนแรกไม่มีวิสัยทัศน์ ก็เป็นเรื่องอย่างนี้ คำว่าวิสัยทัศน์เดี๋ยวนี้ ชอบพูดกัน แล้วก็พูดกันว่าคนนี้มีวิสัยทัศน์ คนนี้ไม่มีวิสัยทัศน์ อันนี้เป็นคนละเรื่อง แต่ว่านึกถึงผู้ที่สร้างคอมพิวเตอร์นี้ไม่มีวิสัยทัศน์ เพราะว่าเมื่อเริ่มทำเขาบอกว่ากว่าจะถึงปี ๒๐๐๐ อีกหลายต่อหลายปี แต่ว่าความจริงหลายต่อหลายปีนั้นเดี๋ยวนี้ก็ถึงแล้ว ที่เขาทำ เขาสร้างขึ้นมา เขาสร้างเริ่มใช้กันแถวๆ ปีที่คนรู้แถวๆ ปี ๑๙๔๕ หรือ ๑๙๕๐ ซึ่งเป็นปีคริสตศักราช เขาก็บอกปี ๑๙๕๐ ก็ย่อเป็นปี ๕๐ ก็ง่ายดี เพราะว่าทำให้ประหยัด ไม่ต้องใส่ ๑๙๕๐ แล้วก็ใช้ได้ คนสมัยนั้นคนที่สร้างนั้น ก็เฉลี่ยดู ก็อายุสัก ๓๐-๔๐ ที่เขาเป็นคนที่ศึกษาการสร้างคอมพิวเตอร์และพัฒนาคอมพิวเตอร์ เมื่อถึงปี ๒๐๐๐ เขาก็บอกเขาอายุ ๘๐ แล้ว ๙๐ แล้ว คงไม่ต้องทำแล้ว คงเป็นคนที่ปลดเกษียนแล้ว ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องรับผิดชอบ จึงไม่คิดที่จะทำให้เป็นปี ๒๐๐๐ สิ้นเปลืองไปเปล่าๆ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ก็ปรากฎว่า ไม่กี่วันจะถึงปี ๒๐๐๐ ก็เห็นจ้าละหวั่นกันใหญ่ ต้องแก้ปัญหาปี ๒๐๐๐ ซึ่งภาษาฝรั่ง ปีก็ตัว Y ตัว Year แล้วก็ ๒๐๐๐ เขาไม่ได้เขียนปัญหา Y๒๐๐๐ เขาเขียนว่า Y2K หรือสองเค เค นั่นแปลว่าพัน เหมือนคำว่า กิโลเมตรก็พันเมตร กิโลกรัมก็พันกรัม คนไทยก็เป็นคนที่ย่อๆ เหมือนกัน เหมือนกับฝรั่งที่สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ ฝรั่งเขาสร้างคอมพิวเตอร์ปี ๕๐ ปี ๑๙๕๐ ก็ตัดพันออก เก้าร้อยก็ตัดออก ก็เหลือ ๕๐ อย่างของคนไทยตรงข้าม อย่างน้ำหนักกี่กิโลกรัม เขาก็เรียกว่าน้ำหนักเท่านั้นๆ กิโล หรือเดินทางเท่านั้นๆ กิโลเมตร เขาก็ไปกี่กิโล แต่ว่าชาวบ้านโดยมาก ก็เดินทางเขาก็ไปตัดเป็นกี่โล ๑ โล ๒ โล ๓ โล ก็ตัดไปให้สั้น คนไทยเนี่ยตัดคนละอย่างกับฝรั่ง ก็ทำให้คนไทยกับฝรั่งต่างกัน แต่ยังไงก็ตาม คนไทยหรือคนฝรั่ง คนต่างประเทศ ก็เดือดร้อนกันตามๆ กัน เพราะกลัวว่าถ้าถึงปี ๒๐๐๐ มันเป็นสองศูนย์ศูนย์ศูนย์ จะกลายเป็นปี ๑๙๐๐ บ้าง หนึ่งเก้าศูนย์ศูนย์ ถ้าหากว่าเป็น ๑๙๐๐ ใครมีบัญชีในธนาคาร จะไปบอกว่าตอนนี้วันที่ ๑ หรือ ๒, ๓ มกราคม ๒๐๐๐ นี่ เขาไปดูในตำรา เขาบอกเป็นปี ๑๙๐๐ ทางธนาคารบอก คุณไม่มีสตางค์หมดแล้ว ไม่ต้องบุคคล รัฐบาลก็คงไม่มีสตางค์เหมือนกัน เดือดร้อนถ้าไม่มีสตางค์ แต่ว่าสมัยนี้เราไม่ใช่ว่าไม่มีสตางค์ เรามีหนี้ มันตรงข้าม ถ้าไปดูปี ๑๙๐๐ ไม่มีหนี้ ก็ไชโยกัน นี่เป็นเรื่องต่างๆ ที่เวลามาพูดต่อหน้าท่านทั้งหลาย ซึ่งก็มีคนที่ซ้ำหน้าบ้าง ไม่ซ้ำหน้าบ้าง มันทำให้ความคิดเฟื่อง ทำให้ความคิดแปลกๆ ว่า ทำไมคนเรามีปัญหา ที่พูดมานี้ ก็จะพูดถึงปัญหาหลายอย่าง บางปัญหาไม่อยากพูด เพราะถ้าพูดเเล้วจะทะเลาะกันต่อไป

แต่ว่าพูดถึงว่า เราคนไทยเรียกว่ากิโลเป็นโล ถ้าจะเรียกว่าปัญหาปี ๒๐๐๐ นี้ เราก็จะต้องย่อเป็นปัญหา ปอ ลอ สอง พัน ลอ สองโลน่ะ ปีสองโล คนก็ไม่เข้าใจ ก็เลยต้องพูดเป็นปัญหาสองวายเค ต้องใช้ภาษาฝรั่ง อันนี้ก็เป็นปัญหาเกิดขึ้น อย่างที่ได้มีคำพูดของนายกฯ ว่าทรงสนับสนุนการศึกษา อันนี้การศึกษาต้องสนับสนุน แต่เป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาหนัก ว่าให้ศึกษา เดี๋ยวนี้ชั้นประถม ก็ต้องสอนภาษาอังกฤษ หรือต้องใช้ภาษาอังกฤษก็จริง แม้แต่ชั้นอนุบาล หรือก่อนอนุบาลก็ใช้ภาษาอังกฤษ เวลาฟังวิทยุ ผู้ที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ ฟังไม่รู้เรื่อง ฟังวิทยุทุกวัน ฟังดูแล้วคนที่ไม่มีความรู้ภาษาอังกฤษ จะไม่มีทางเข้าใจว่าเขาพูดว่าอะไร ด้วยเหตุผล ๒ อย่าง อย่างหนึ่งใช้คำภาษาฝรั่งโดยที่ไม่แปล บางท่านหรือโฆษกบางคน หรือผู้ดำเนินรายการบางคนก็ดี เวลาผู้ที่เป็นคู่สนทนา พูดเป็นภาษาอังกฤษขึ้นมา โฆษกเขาต้องแปลเป็นภาษาไทยทันที ว่าแปลว่าอะไร แล้วผู้ที่สนทนาก็ไม่ว่าอะไร ไม่โกรธ เขาต้องแปล ผู้ฟังก็รู้เรื่องว่าผู้ที่มาสนทนานั้นพูดเรื่องอะไร อันนี้เป็นข้อหนึ่ง ที่ต้องรู้ภาษาอังกฤษ อีกอย่างหนึ่งพูดภาษาไทยนั่นเอง แต่คำภาษาไทยนั้นแปลตรงมาจากภาษาอังกฤษ ก็เลยฟังไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดว่ากระไร ต้องฟังรายการ หรือแม้แต่ฟังที่เขาพากย์ภาพยนตร์เป็นภาษาไทย เราจะต้องคิดว่าภาพยนตร์นั้น เขาเป็นเรื่องอะไร เกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร เพราะต้องแปล ที่ลำบากต้องแปลภาษาไทย เป็นภาษาอังกฤษ แล้วแปลเป็นภาษาไทยใหม่ ถึงจะเข้าใจ ซึ่งเสียเวลา อันนี้เรื่องความลำบากของภาษา และถ้าหากว่าการศึกษา สามารถที่จะสอนภาษาอังกฤษ คู่กับภาษาไทย ก็จะทำให้คนเข้าใจดี แต่ว่าสมองของคนจะรับได้หรือไม่ สมองของเด็กที่เรียนจะรับได้หรือเปล่า แล้วยิ่งเป็นสมองของครู สมองของครู จะรับได้หรือเปล่า ที่จะสอนภาษาไทยควบกับภาษาอังกฤษตลอด ไม่สามารถที่จะสอนแล้วก็จะทำให้เด็กไม่มี ความรู้ยิ่งกว่าเดิม

อันนี้เป็นข้อคิด ที่เข้าใจว่าไม่เคยได้ยินเขาพูดว่า การสอนภาษาหนึ่งภาษาใดต้องคู่ โดยมากเขาเรียนภาษามีวิธี ๒ วิธี วิธีหนึ่ง พูดเป็นภาษาไทย แล้วสอนภาษาอังกฤษว่า คำนี้แปลว่าอะไร อีกวิธีหนึ่ง ก็พูดเป็นภาษาอังกฤษ แล้วสอนเป็นภาษาอังกฤษ ให้เข้าใจเอาเอง ซึ่งทั้งสองอย่างก็ลำบาก แล้วทำให้ความรู้เกิดขึ้นช้า ถ้าพูดเรียนเป็นภาษาอังกฤษ แล้วผู้เรียนมีความรู้พอ แล้วก็จะเร็ว เพราะว่าตำราภาษาอังกฤษก็มีแล้ว มีพร้อมไม่ต้องแปลด้วยซ้ำ ไปเอาตำราเขาทั้งดุ้น ก็ใช้ตำราภาษาอังกฤษแล้วมาสอน แต่อย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์มากนัก เพราะสมองของคนไม่เหมือนกัน หรือสิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกัน สภาพแม้แต่ภูมิภาค อุณหภูมิ ก็ไม่เหมือนกัน นอกจาก ๒-๓ วันนี้ มันเย็น อากาศก็เย็นมาก เขาขู่ว่าจะลงไปถึง ๑๔ องศาเซลเซียส ที่กรุงเทพฯ นี่ ซึ่งเมื่อคืนนี้ก็ใกล้เคียง ก็ต้องหาวิธีที่จะทำการสอน การเรียนการสอน ให้ได้ประโยชน์ และได้สามารถที่จะเข้าใจ ความจริงก็ไม่ใช่ว่าจะให้เข้าใจภาษา เข้าใจวิชาการ และไม่ใช่วิชาการเท่านั้นเอง แต่ต้องเข้าใจวิธีปฏิบัติตน คือหมายถึงจริยธรรม หรืออะไรต่างๆ พวกนี้ ต้องเรียนต้องรู้ ให้มีความรู้กว้างขวาง อันนี้ที่เป็นข้อสำคัญในการพัฒนาการศึกษา ถ้าหากว่าไม่พัฒนาศึกษา ประเทศชาติจะก้าวหน้าไม่ได้ เพราะว่าถ้าไม่พัฒนาการศึกษา ความเข้าใจของบุคคลจะไม่มี ถ้าความเข้าใจของบุคคลไม่มี คนพูดอย่าง ข้อใดก็ตาม อีกคนไม่เข้าใจ คือสื่อความหมายสื่อความคิดไม่ได้ ถ้าไม่มีความรู้โดยเฉพาะทางภาษา อันนี้จะต้องแก้ไข ที่บอกว่าต้องแก้ไข เพราะรู้ว่ายังไม่มี

เมื่อสมัยก่อนนี้พอได้ เมื่อสมัยต้นศตวรรษฝรั่ง ปี ๑๙๐๐ แถวนั้น ในเมืองไทยก็การศึกษายังไม่ก้าวหน้านัก แต่คนเข้าใจ คนรู้เรื่อง แต่ค่อยๆ มาถึงกึ่งศตวรรษ คือแถว ๑๙๕๐ ชักจะไม่รู้เรื่อง เพราะไปสนใจเรื่องคอมพิวเตอร์ ก็เลยปล่อยให้คอมพิวเตอร์คิดเอง คนไม่ค่อยได้คิด เดี๋ยวนี้สมองของคน เป็นทาสของคอมพิวเตอร์ ซึ่งคอมพิวเตอร์เรียกว่าสมองกล หรือสิ่งที่คนคิดขึ้นมาทำ คนเลยไม่ใช้ความคิด เมื่อไม่ใช้ความคิดแล้ว พูดจากันไม่รู้เรื่อง ที่ชักนิยายต่างๆ เหล่านี้ ก็ท่านทั้งหลายคงนึกว่า จะไปไหนจะพูดเรื่องอะไร ก็พูดเรื่องเดิม คือ เมื่อ ๒ ปี พูดถึงเศรษฐกิจ พูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง พูดถึงทฤษฎีใหม่ แล้วก็บอกว่าถ้าไม่รู้เรื่อง ปีหน้าจะมาอีก แล้วปีหน้าก็มาจริง ๆ คือ ปี ๒๕๔๑ ๒๕๔๑ มาแล้วก็ต้องอธิบายใหม่ ที่บอกว่าพูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แล้วแปลแล้วเป็นภาษาอังกฤษ ก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง ก็เลยบอกแล้วว่า ถ้าไม่เข้าใจก็จะอธิบายใหม่ ก็ได้อธิบายใหม่ เมื่อปีที่แล้ว วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ ก็ได้อธิบาย ก็รู้สึกว่าได้อธิบายอย่างแจ่มแจ้งยืดยาว ก็ดูใครต่อใครก็พยักหน้าว่า เอ้อ ดี ทำไปทำมา ก็ถามกันว่าจะทำอย่างไร สำหรับทำเศรษฐกิจพอเพียง ของพระเจ้าอยู่หัว

ก็มีการสัมมนากัน มีรายการวิทยุ ผู้เชี่ยวชาญหลายคน ถามกันไป ถามกันมา ว่าเศรษฐกิจพอเพียง ของพระเจ้าอยู่หัวนี่เป็นอย่างไร เขาบอกว่ารู้ดี จะทำให้ประเทศชาติรอดพ้นจากวิกฤติการณ์ได้ บางคนก็คัดค้านบอกไม่ดี ไม่ใช่ว่า ผู้ที่กล่าวถึงเศรษฐกิจพอเพียง เป็นคล้าย ๆ เป็นทฤษฎีขึ้นมาใหม่จะน้อยใจ ไม่น้อยใจ ดีใจที่ท่านผู้ที่เป็นนักเศรษฐกิจ ผู้ที่เป็นอาจารย์เศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียง เขาอุตสาห์อ้างถึง เอ่ยถึง เศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว ถ้าเขาไม่เห็นว่าดี เขาไม่พูดเลย ถ้าพูดเดี๋ยวจะหาว่า มาติเตียนพระเจ้าอยู่หัวไม่ดี แต่นี่เขาก็พยายามเอามันมาใช้ แต่เขาก็มีคำถามว่า เป็นอย่างนั้นใช่ไหม อย่างนี้ใช่ไหม เหมือนเขาถามพระเจ้าอยู่หัว แต่เขาพูดในทีวี พระเจ้าอยู่หัวฟังดู มันไม่ใช่ ๒ ทาง เดี๋ยวเราต้องตั้งสถานีโทรทัศน์ ดูเขาเถียงกันบนเวที แล้วพระเจ้าอยู่หัวก็นั่งอยู่ ฟัง ถ้าเขามีอะไรที่จะถาม เขาก็ถามว่าพระเจ้าอยู่หัวคิดอย่างไร พระเจ้าอยู่หัวก็ยกมือขึ้นเหนือหัว แล้วก็กดไมโครโฟน แล้วก็ตอบยืดยาว จนกระทั่งมีการประท้วง แต่ยังไง ทำอย่างนั้นเราก็ไม่ได้นอนไม่ได้หลับ คือเขาจะมีโปรแกรมโต้วาทีกัน ถ้าพูดอย่างนั้นก็กลายเป็นโต้วาที ให้กระชับหน่อย กระชับไม่ได้ อธิบายถึงเรื่องที่สำคัญ คือเศรษฐกิจของประเทศ เขาพูดกันมาเป็นแรมปีแล้ว เป็น ๑๐๐ ปี ก็ยังตกลงกันไม่ได้ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าอยู่หัว จะมาแก้ปัญหาเองได้ทันทีทั้งหมด แต่ว่าบางอย่างก็คันปากที่จะตอบ แล้วเขาก็บอกว่า เขาไม่บอก เพราะว่าเขาไม่ได้ยินหรอก ไม่ทราบว่าเราจะประท้วง แต่อยากประท้วงเพราะว่าพาดพิง อันนี้ วันนี้ได้เปรียบ เพราะว่าไมโครโฟนอันนี้เปิดตลอด ไมโครโฟนอันโน้นไม่เปิด แล้วถ้าเขาเปิดจะบอกไม่ให้เปิด

ก็ต้องบอกได้ว่า มีคนหนึ่งพูด เป็นด็อกเตอร์ เขาพูดว่าเศรษฐกิจพอเพียง ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร แหม คันปากอยากจะพูด ที่จริงที่คันปากที่จะพูด ก็เพราะตอบแล้ว พูดแล้ว อย่างที่เห็นในทีวีรายการใหญ่ เขาพูดถามโน่นถามนี่ เราผู้ดูแล้วก็รำคาญ เพราะว่าตอบแล้ว เขาตอบแล้ว เสร็จแล้วก็ให้ตอบใหม่ เมื่อตอบอีกแล้ว บอกว่าทำไมพูด ถามเสร็จแล้วเขาตอบ ผู้ถามก็ถามว่าทำไมพูด พูดแล้ว แล้วลำบาก คราวนี้เราฟังเขา แล้วเขาถามว่า ภาษาอังกฤษจะตอบ จะแปลเศรษฐกิจพอเพียงว่าอย่างไร ก็อยากจะตอบว่ามีแล้วในหนังสือ ในหนังสือไม่ใช่หนังสือตำราเศรษฐกิจ ในหนังสือพระราชดำรัสที่อุตส่าห์พิมพ์ อุตส่าห์เอามาปรับปรุงดูให้ฟังได้ และแปลเป็นภาษาอังกฤษ เพราะว่าคนที่ฟัง เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษ คนที่ฟังภาษาไทย บางทีไม่เข้าใจภาษาไทย ก็ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ แล้วขีดเส้นใต้ด้วยว่า เศรษฐกิจพอเพียง เขียนเป็นตัวหนา แปลว่า Sufficiency Economy เขียนเป็นตัวหนาในหนังสือ ตัวเองก็ตกใจว่า เอ้อ เราไม่ได้แปลหรือ ไม่ได้อธิบายหรือ ก็เลยไปดูในคอมพิวเตอร์ สมเด็จพระเทพฯ ได้อุตส่าห์ทำซีดีรอม พระราชดำรัส วันที่ ๔ ธันวา หลายฉบับ

แล้วเข้าไปในซีดีรอม แล้วเอาซีดีรอมนี้มาให้ เราก็เอาใส่เข้าไปในคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็เก่ง รู้สึกตัวเองเก่งมาก เพราะว่าการที่จะใช้ซีดีรอมได้ ใช้คอมพิวเตอร์ได้ มันโก้นะ รู้สึกว่าเชี่ยวชาญมาก ก็เปิดกดพระราชดำรัสภาษาอังกฤษ ในของวันที่ ๔ ธันวา ๑๙๙๘ กดไปแล้วก็ดู โซฟิเชียลซี่ อิโคโนมี่ ก็มีอยู่นี่หนา ก็หมายความว่า ได้แปลไว้ชัดเจน แล้วพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ตอบไปให้กับ ผู้ที่เป็นด็อกเตอร์ต่างๆ เหล่านั้น ให้เข้าใจว่ามีแล้ว เสร็จแล้วเขาก็มาต่อว่า โซฟิเชียลซี่ อิโคโนมี่ ไม่มีในตำราเศรษฐกิจ จะมีได้อย่างไร เพราะว่าเป็นทฤษฎีใหม่ เป็นตำราใหม่ ถ้ามีอยู่ในตำรา ก็หมายความว่าเราก็อปปี้มา เราลอกเขามา ก็ไม่อยู่ในตำราเศรษฐกิจ เป็นเกียรติมาก เป็นเกียรติที่เขาพูดเช่นนี้ ที่ว่าโซฟืเชียลซี่ อิโคโนมี่ ไม่มีในตำรา หมายความว่า เรามีความคิดใหม่ และท่านผู้เชี่ยวชาญสนใจ ก็หมายความว่า เราก็สามารถจะคิดอะไร ที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจสนใจ จะถูกจะผิดก็ช่าง แต่ว่าเขาสนใจ เขาก็สามารถที่จะไปปรับปรุงหรือไม่ ใช้หลักการเพื่อที่จะให้เศรษฐกิจของประเทศ และของโลกพัฒนาดีขึ้น

อันนี้ขอพูดต่อจากที่เขียน หรือที่พูดเมื่อปีที่แล้ว ว่าจะเป็นประโยชน์อย่างไรต่อไป ซึ่งก็แย้มเอาไว้แล้ว แต่เศรษฐกิจพอเพียงนั้น เขาตีความว่าเป็นเศรษฐกิจชุมชน คือหมายความว่า ให้พอเพียงในหมู่บ้าน หรือในท้องที่ ให้สามารถที่จะมีพอกิน มันเริ่มด้วยพอกิน พอมีพอกิน อันนี้ พอมีพอกินได้พูดมาหลายปี สิบกว่าปีมาแล้ว ให้พอมีพอกิน แต่ว่าพอมีพอกิน มันเป็นเริ่มต้นของเศรษฐกิจ เมื่อปีที่แล้วบอกว่าถ้าพอมีพอกิน เซลฟิเชนซี่ คือ พอมีพอกินของตัวเองนั้น เป็นเศรษฐกิจสมัยหิน มันไม่ใช่ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียง เป็นเศรษฐกิจสมัยหิน สมัยหินนั้น เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน แต่ว่าค่อยๆ พัฒนาขึ้นมา ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนกัน มีการช่วยระหว่างหมู่บ้าน หรือระหว่างอำเภอ จังหวัด ประเทศ ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยน มีการไม่พอเพียงกัน ถึงบอกว่า ถ้ามีเศรษฐกิจพอเพียง เพียงเศษ ๑ ส่วน ๔ ก็จะพอแล้ว จะใช้ได้ เพราะว่าถ้ามีเศรษฐกิจพอเพียง เพียงเศษ ๑ ส่วน ๔ สมมุติว่าเดี๋ยวนี้ไฟดับ ถ้าไม่มีเศรษฐกิจพอเพียง ไฟดับ ไฟหลวง ไฟฟ้าหลวง หรือไฟฟ้าฝ่ายผลิตเขาดับหมด พังหมด จะทำอย่างไร ที่ๆ ต้องใช้ไฟฟ้าก็ต้องแย่ไป บางคนที่ต่างประเทศ เวลาไฟดับ เขาฆ่าตัวตาย แต่ของเราไฟดับ เราเคยชิน เราไม่เป็นไร ไฟดับ ถ้ามีความจำเป็น เศรษฐกิจพอเพียงแบบไม่เต็มที่ เรามีเครื่องปั่นไฟ ก็ใช้ปั่นไฟ หรือถ้าขั้นโบราณกว่า มืดก็จุดเทียน มีทางที่ให้แก้ปัญหาเสมอ งั้นเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ก็มีเป็นขั้นๆ แต่ว่าต้องดูว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ที่จะมาบอกว่า ให้พอพียงเฉพาะตัวเองร้อยเปอร์เซนต์ เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน ต้องมีการช่วยกัน ถ้ามีการช่วยกันแลกเปลี่ยน ก็ไม่ใช่พอเพียงแล้ว

แต่ว่าพอเพียง ในทฤษฎีหลวงคือ ให้สามารถดำเนินงานได้ แต่ที่ว่าเมืองไทยไม่ใช้เศรษฐกิจพอเพียง นี่ไม่ได้ตำหนิ ไม่เคยพูด นี่พูดในตอนนี้ พูดเวลานี้ ขณะนี้ว่าประเทศไทย ไม่ใช้เศรษฐกิจพอเพียง ค่อนข้างจะแย่ เพราะว่าจะทำให้ล่มจม เศรษฐกิจพอเพียงที่หมายถึงนี้ คือว่า อย่างคนที่ทำธุรกิจ ก็ย่อมต้องไปกู้เงิน เพราะว่าธุรกิจ หรือกิจการอุตสาหการสมัยใหม่นี้ คนเดียวไม่สามารถที่จะรวบรวมทุนมาสร้างกิจการ กิจกรรมที่ใหญ่ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้กิจกรรมที่ใหญ่

ไปไหนได้เอ่ยถึงเขื่อนป่าสัก คนเดียวทำไม่ได้ หรือแม้แต่หน่วยราชการหนึ่งเดียวทำไม่ได้ เขื่อนป่าสักนี้เริ่มต้นด้วยเป็นกิจการของกรมชลประทาน แต่ว่าให้กรมชลประทานแต่ฝ่ายเดียวไม่ได้ ก็จึงต้องรวบรวมกำลังและกลายเป็นกิจการของรัฐบาลเป็นส่วนรวม ถ้าจะว่ารัฐบาล ไม่ใช่รัฐบาลเดียว แต่ว่ารัฐบาลหลายรัฐบาลต้องทำ แล้วก็เงินทองนั้นก็เป็นกิจการที่ใช้เงิน ทำไปทำมาแต่ก่อนอาจจะไม่แพง แต่ตอนหลังก็แพง เกิน 2 หมื่นล้าน เป็นจำนวนเงินที่ไม่ใช่น้อย ดูจะเป็นเงินที่หายาก แล้วทำไมมาทำ แต่ที่สนับสนุนให้ทำ เพราะว่าเขื่อนป่าสัก อย่างที่นายกฯได้กล่าว มีประโยชน์มาก แม้จะยังไม่ได้ส่งน้ำสำหรับการเกษตรแท้ๆ แต่ว่าได้ทำประโยชน์ ปีนี้เดือนตุลา พฤศจิกา เขากลัวน้ำท่วม และบอกไว้แล้วโครงการป่าสักมีไว้สำหรับน้ำแห้ง และมีไว้สำหรับน้ำเปียก น้ำมากน้ำเกินมันก็เปียก ทำให้มีความเสียหาย เสียหายทั้งทางเกษตรคือถ้าสิ่งที่เพาะปลูก ถูกน้ำท่วมก็เน่า เมื่อเน่าแล้ว เจ้าของคือเกษตรกรก็ไม่มีรายได้ ต้องช่วยเขา เขาก็ต้องช่วยตัวเองด้วย เสียหายมาก ในด้านอื่น ในกรุง ในเมืองก็มีน้ำมาก ไม่ได้ประโยชน์ ก็ล้นมาท่วมถนน การจราจรติดขัด ธุรกิจต่างๆ หยุดชะงักเสียหาย ความเสียหายเหล่านี้หลังคำนวนดู หมื่นล้าน เมื่อปี 26 หรือที่น้ำท่วมคำนวนดูแล้ว รัฐบาลต่างๆ ในระยะโน้นต้องมีงบประมาณไปช่วยเกษตรกร งบประมาณสูบน้ำออกจากถนน ออกจากกรุงคิดแล้วเป็นเงินก็ประมาณหมื่นล้าน แต่ความเสียหาย อย่างอื่นเป็นมลพิษ คือเครื่องที่สูบก็ต้องใช้น้ำมันหรือถ้าไม่ได้ใช้น้ำมัน ก็ต้องใช้ไฟฟ้า ไฟฟ้าต้องผลิตด้วยเชื้อเพลิงที่สร้างมลพิษ ส่วนมากเป็นอย่างนั้น เชื้อเพลิงที่ผลิตด้วยกำลังพลังงานที่ไม่มีมลพิษ เช่น พลังน้ำ มีน้อย เปรียบเทียบกับพลังงานที่ใช้ เช่น มีน้ำมันหรือลิกไนต์ ทำมลพิษมากก็เสียหายทับถมไปอีก มันเกินหมื่นล้าน

ถ้านับดูปีนี้ที่น่าจะมีความเสียหายหมื่นล้าน ไม่ต้องเสีย ที่ไม่ต้องเสียนี้ก็ทำให้เกิดมีผลผลิต โดยเฉพาะอย่างเกษตร เขามีผลผลิตได้ แม้จะปีนี้ ซึ่งเขื่อนยังไม่ได้ทำงานในด้านชลประทาน ก็ทำให้ป้องกันไม่ให้มีน้ำท่วม ทำให้เกษตรกรเพาะปลูกได้ ก็เป็นเงินหลายพันล้าน ฉะนั้นในปีเดียวเขื่อนป่าสักนี้ได้คุ้มแล้ว คุ้มค่าที่ได้สร้าง 2 หมื่นล้านนั้นค่าสร้างตัวเขื่อนและส่วนประกอบต่างๆ ไม่ถึงพันล้าน

ที่มากเพราะว่าต้องไปชดเชย และต้องไปเลื่อนถนน เลื่อนรถไฟ ไม่ใช่เฉพาะเขื่อน การที่จะชดเชยให้กับผู้ที่มีที่ ก็ทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น วันนั้นที่ไปเปิดเขื่อนได้บินเฮลิคอปเตอร์ไปดูขอบของอ่าง ก็เห็นบ้านที่เขาสร้างให้ผู้ที่ย้ายมาจากที่เสียหาย เขาก็สร้างบ้านได้อย่างดี คุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับชดเชยก็ดีขึ้น หมายความว่ากิจการเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน แต่ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ก็พอเพียงเพราะว่าถ้าทำแล้ว คนอาจจะเกี่ยวข้องกับกิจการนี้มากมาย ทำให้ส่วนรวมได้รับประโยชน์และจะทำให้เจริญ

อีกข้อหนึ่งการที่สร้างเขื่อนป่าสักนี้ เป็นกิจการที่กว้างขวาง ต้องร่วมมือกันหลายหน่วยงาน ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่ไปขุดดินมาถม หรือของผู้ที่เป็นวิศวกรที่ออกแบบ หรือเป็นผู้ที่จะทำงานมาเปิดปิดประตูน้ำ เพื่อควบคุมน้ำ เป็นการร่วมมือระหว่างคนหลายจำพวก หลายอาชีพ บางคนก็ไม่ใช่วิศวกร บางคนเป็นผู้ที่ดูแล คือเป็นผู้ปกครอง ฝ่ายปกครองคือฝ่ายจังหวัดอย่างผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ จนกระทั่ง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทุกคนมีส่วน แต่ว่าถ้ากิจการที่ทำนี้ไม่มีนโยบายที่แน่วแน่ที่สอดคล้องกัน ถ้ามัวแต่ทะเลาะกัน ไม่สำเร็จ ไม่สำเร็จถือว่าไม่ได้ประโยชน์จากกิจการที่คิด เมื่อไม่ได้ประโยชน์จากกิจการที่คิด ป่านนี้เราจะจนลงไป เงิน 2 หมื่นล้านที่ไปลงกับการสร้างนั้นก็หมดไปแล้ว หมดไปโดยไม่มีประโยชน์ หมดไปโดยได้ทำลาย เพราะว่าเดือดร้อน เกษตรกรเดือดร้อน ชาวกรุงเดือดร้อน ฉะนั้นต้องมีเหมือนกัน โครงการต่างๆ หรือเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่ต้องมีการสอดคล้องกันดี ที่ไม่ใช่เป็นแต่เหมือนทฤษฎีใหม่ 15 ไร่ แล้วก็สามารถจะปลูกข้าวพอกิน นี่ใหญ่กว่า แต่อันนี้ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสัก คนนึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง

อันนี้เป็นตัวอย่างในทางที่บวก เศรษฐกิจพอเพียงอีกอย่างหนึ่ง ไม่ค่อยอยากพูด อย่างเช่นการแลกเปลี่ยนมูลค่า ได้พูดมา 2 ปี บอกว่าขอให้ค่าของเงินจะสูงจะต่ำก็ไม่ขัดข้อง แต่ว่าถ้าไม่สมดุลกัน มันไม่ดี อย่างที่บางคนบอกว่าค่าของเงินแข็งเกินไป ทำให้การขายไม่ดี ก็ขอคัดค้าน ถ้าให้เงินอ่อนลงไป เช่น ดอลลาห์ละ 50 บาท อ้างว่าขายสินค้าออกไปต่างประเทศ 1 ดอลลาห์จะได้มา 50 บาท จริงได้มา 50 บาท แต่ 50 บาทนั้น แต่ 50 บาทนั้นมันราคา 50 บาท หรือเปล่า เพราะว่า 50 บาทนี้จะไปซื้อน้ำมันซื้ออะไรก็ได้เพียงครึ่งเดียว อันนี้ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่ว่าเข้าข้างตัวเอง เพราะว่าพูดมาก่อนนี้แล้ว พูดมาก่อนที่ผู้ที่เป็นตัวละครในการถกเถียงกัน ได้มาอยู่ในตำแหน่งนั้น พูดมานานแล้ว แต่ว่าถ้าเงิน 20 บาท 25 บาทมั่งต่อดอลลาห์ 50 บาทมั่งต่อดอลล่าห์ คนที่ ขอใช้คำว่าหัวใส เขารู้ ไปซื้อดอลลาห์ในราคา 25 บาท ไม่กี่วันดอลลาห์ขึ้นเป็น 50 บาท เขาขาย 50 บาทได้กำไร 2 เท่า อย่างนั้นเราเห็นว่าคนได้กำไรเราก็ยินดีด้วย ยินดีด้วยกับเขา ว่าคนไหนรวยก็ดี แต่ที่ไม่ยินดี เพราะว่าคนไหนที่ได้กำไรโดยมีเทคนิคสูงในการแลกเปลี่ยน หรือมีความรู้ รู้ไส้ ฝรั่งเขาเรียกว่าอินไซด์เดอร์ ถ้าคนไหนรู้ไส้ของเศรษฐกิจชั้นสูงๆอย่างนี้ รวย แต่ว่าคนนั้นรวย ก็อย่างที่ว่า เรายินดีด้วยกับเขา ถ้าเขารวยแล้วใจบุญ แต่ว่าอย่างนี้เศรษฐกิจพัง พังเพราะอย่างนี้ จะไม่พูดว่าอันนี้เป็นทุจริต แต่ว่าได้พูดไปแล้ว

ในเมืองไทยนี้ถ้าทำกิจการ หมายความว่าปกครอง หรือดำเนินกิจการ ทั้งในด้านการเมือง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ทั้งในด้านธุรกิจ ในด้านอาชีพ มีทุจริต เมืองไทยพัง ของเรา เมืองไทยที่ยังไม่พังแท้ ก็เพราะว่าเมืองไทยนี้นับว่าแข็งมาก เดี๋ยวนี้ถ้าหากว่าทำไม่ระวัง เข็นให้ฟัง เหมือนบ้านที่กำลังคลอน อะไรสั่นนิดเดี่ยวก็ถล่ม เมื่อถล่มแล้วก็จะแย่ ในปีที่ผ่านมายังไม่ผ่านไป มีตัวอย่างของเรื่องบ้านพัง อย่างเช่น ตุรกี บ้านมันพัง มีแผ่นดินไหว สั่น บ้านก็พังชั้นบนลงมาถึงชั้นล่างเลย คนที่นั่งอยู่ชั้นบน เขาบอกว่ามันลงๆๆๆ พังทับลงมาถึงชั้นล่าง... ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ เพราะมีทุจริตส่วนใหญ่ เพราะว่าผู้ที่ตรวจการก่อสร้าง ปล่อยให้เขาก่อสร้างบ้านที่สั่นนิดก็ถล่ม ที่อื่นที่มันสั่นคือแผ่นดินไหวมาก ไม่เสียหายเท่า ก็มีหลายตัวอย่าง ตัวอย่างเขาว่าเป็นทุจริต ที่เวเนซูเอล่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ เขาว่าเป็นทุจริต ไม่ได้ทำโครงการที่เหมาะสมสำหรับป้องกัน ทำให้คนตายกว่า 3 หมื่น อย่างน้อย

เมืองไทยเคราะห์ดีที่ไม่เป็น ไม่มีอย่างนี้ แต่ถ้าไม่ระวังก็เป็น ที่ได้เห็น เพราะว่าไปอยู่หัวหินนาน นานเกินไป ทำให้ไปเผชิญพายุ พายุที่ผ่าน ที่ปราน ความเร็วลม 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วมาพัด ใส่หัวหิน วันนั้นเวลา 10 นาฬิกา ดูทะเลเป็นบ้า น้ำท่วมที่บ้าน หมายความน้ำท่วมที่วังไกลกังวล น้ำท่วมเพราะเหตุว่า สะพานหรือถนน ถนนที่ผ่านตลาดกั้นน้ำไว้ น้ำก็มาเอ่ออยู่ข้างบน เมื่อเอ่อแล้ว ก็มาท่วมชาวบ้าน สุดท้ายก็ไปฟันถนนนั้น ฟันส่วนที่กั้นสองข้างของผิวจราจร น้ำก็ไหลลงมา ไหลลงเข้ามาในวังไกลกังวล แล้วเทลงทะเล เป็นเหมือนน้ำตกก็สวยดีเหมือนกัน แต่ว่าโดยที่น้ำท่วมนั้นพอที่จะอยู่ในควบคุม ก็จัดการซ่อมแซมได้เรียบร้อย แต่ตอนนี้ต้องทำแผน เพราะว่าน้ำก็ท่วมลงตลาด ตลาดฉัตรชัย แล้วน้ำไม่ไหลลงทะเลเพราะมาสร้างบ้านขวาง ตลอดทางขากลับจากหัวหิน น้ำก็ยังท่วมอยู่ที่ทางเข้าเพชรบุรี ตรงนั้นเพราะมีอาคารเขาสร้างขวางทางน้ำที่จะลงทะเล ที่จะทำให้ระบายน้ำออก ทั้งหมดนี้เดี๋ยวจะกลายเป็นการหาเรื่อง แต่ว่าเพราะว่าระเบียบ เขาก็รู้ว่าน้ำจะไหล น้ำฝนจะลงมาจะทำให้ขวางและมาเอ่อ แล้วก็ท่วมถ้าควบคุมดีๆ ก็จะไม่ว่าเป็นการทุจริต แต่เป็นเลินเล่อ คือเป็นมานานแล้ว

สร้างถนน ทำสะพานไม่พอ สร้างถนนเขาก็บอกมีท่อ ไอ้ท่อน้ำจะผ่านไม่ได้เท่าไร ท่อใหญ่ๆ คนเข้าไปได้ แต่ว่าน้ำมันมากกว่า เมื่อทำอย่างนั้นคือโครงการไม่ดี เห็นมามากแล้วว่าระหว่างหน่วยราชการ เช่น กรมทาง กรมชลประทาน กรมป่าไม้ เป็นต้น ไม่ได้สอดคล้องกัน โครงการไม่ทำให้สอดคล้องก็เกิดเรื่อง แก้ไขก็แก้ไขได้ไม่สู้ยากนัก แต่ต้องไม่มีทิฐิ จะต้องร่วมกัน แต่ถ้ามีทุจิรตมาเพิ่มในกิจการเหล่านี้แล้ว จะทำให้ร้ายแรงขึ้นเป็น 2-3 เท่า ที่พูดอย่างนี้เมื่อหลายปีแล้ว 20 ปีได้แล้ว ที่ชุมพรมีฝนลงมามาก แล้วน้ำก็ขึ้นในคลองที่ผ่านชุมพร เรียกว่าคลองอู่ตะเภา ซึ่งเป็นคลองที่รับน้ำคลองท่าแซะและคลองรับร่อ 2 คลอง น้ำลงมาแล้วผ่านถนน ตอนนั้นมันเอ่อลงท้ายก็ลงคลองอู่ตะเภา จะท่วมอำเภอเมืองชุมพร ตอนนั้นมีโครงการแล้ว ประตูน้ำสามแก้ว แต่การเปิดปิดประตูน้ำสามแก้ว เขาเปิดปิดผิดจังหวะ เพราะว่าน้ำพรวดพราดมา เป็นถนนที่สร้าง ตอนนั้นไม่ใช่ถนนใหญ่โตมากนัก ไม่มีทางที่จะปล่อยน้ำลง เมื่อ 2-3ปี ก็เกิดเรื่องอีก ที่เล่าให้ฟังเมื่อปีที่แล้ว ฝนตกน้ำท่วม น้ำท่วมในเมือง 2 เมตร รถยนต์รถอะไรก็แย่ โรงพยาบาลก็ท่วม เครื่องเอ็กซ์เรย์ที่อยู่ชั้นล่าง แต่ยกขึ้นมาสูงก็ท่วมเสียหาย ได้ทราบอย่างนั้นก็ซื้อเครื่องเอ็กซ์เรย์ให้เขา เมื่อไปก็ไปดูโรงพยาบาลและไปเยี่ยมเครื่องเอ็กซ์เรย์ พอดีหมอเอ็กซ์เรย์อยู่ตรงนั้น จึงถามว่าเป็นอย่างไรตอนนั้น เขาบอกว่าน้ำขึ้นสูงถึงหม้อแปลง แต่ดูแล้วก็ดีใจที่หมอเอ็กซ์เรย์คนนั้นตัวสูงมาก เป็นหมอผู้หญิงแต่ตัวสูงก็เลยไม่จมน้ำตาย สุดท้ายก็ซื้อเอ็กซ์เรย์ให้ เขาก็ดีใจมาก

หน้าประตูจะเข้าประตูไม่ได้เพราะว่าน้ำขึ้นมาสูง ต้องเข้าทางหน้าต่าง ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าโครงการไม่ถูก ได้ไปดู มีคลองที่จะระบายน้ำ เขาเรียกว่าหัววังผนังตัด แต่ว่าคลองนั้นยังไม่เสร็จไม่เรียบร้อย เพราะว่าต้องคอยอีก 2 ปีถึงจะเสร็จ ก็เลยบอกว่า เอ้า ขุดเลย เขาบอกว่าไม่มีเงิน ก็เอาเงินให้ งบประมาณไม่มีก็ช่าง ที่จริงไม่มีเท่าไร เปรียบเทียบกับความเสียหายที่เสียหายเป็นพันล้าน ก็ทำ ขุดได้ ประชาชนก็ร่วมมือ ที่แรกก็ไม่รู้ทีหลังก็รู้ ต่อมาเมื่อทำเสร็จก็ยังไม่เสร็จดีแต่ว่า ระบายน้ำได้ มีพายุเข้ามาอีก มีฝนลงมามาก ไม่เป็นไม่ท่วม ปีต่อมาปีที่แล้วก็ไม่ท่วม (เสียงดัง) การติดต่อมาติดต่อมากเหลือเกิน นี่แหละเด็กสมัยใหม่ เด็กไอที ก็หมายความว่า 3 ปีไม่ท่วม ประหยัดได้ 3 พันล้านที่ทำคลองนั้น 30 ล้าน ก็คุ้มนะ นี่เป็นเศรษฐกิจพอเพียง แล้วก็คิดดูวันนั้น ตอนนั้นที่เดินทางไปที่ชุมพร จากหัวหิน นั่งรถไป ก่อนที่จะไปถึงที่ ไปจอดที่สะพานแห่งหนึ่ง แล้วก็ไปชะโงกดูสะพาน ที่ข้างล่างสะพานไม่มีน้ำแห้ง มีน้ำขังอยู่นิดๆ คนก็ถามว่าทำไมมาจอดสะพานนี้ ไอ้สะพานนั้นตอนน้ำท่วมน้ำมันผ่าน เหลือสะพาน 1 เมตร ก็หมายความว่าสะพานนั้นทำหน้าที่สะพานแต่อยู่ใต้น้ำ เลยต้องหาวิธี เลยบอกกับกำนันบอกว่าคลองท่าแซะอยู่โน้นใช่ไหม เขาบอกว่าใช่ แล้วตามทางนี้เป็นของใคร เขาบอกชาวบ้าน ทำนา เลยบอกว่าขอนิดหนึ่ง ตามทางนี้ขอสำรวจ ต่อไปอาจจะทำคลองเพื่อที่จะได้ระบายน้ำลงไปในหนองใหญ่ เพื่อที่จะเป็นระบบป้องกันน้ำท่วม หนองใหญ่จะเป็นที่เรียกว่าแก้มลิง

แก้มลิงนี่คนก็หัวเราะ ทำไมแก้มลิง ก็อธิบายมาแล้ว คนก็เข้าใจแล้วว่าแก้มลิงคืออะไร คนหัวเราะพวกนั้น เพราะอาจจะตลกที่เอาลิงมาเลี้ยงที่นี่ เนื่องจากแก้มลิง คนก็จะได้รู้ได้เห็น สมัยนี้คนไม่เห็นไม่รู้ว่าลิงมีแก้ม แต่ว่าเอามาโชว์ว่ามีแก้มลิง นี่ขอพูดต่างหากว่าลิงตัวหนึ่งที่มีอยู่ มือมันพิการ ยังไม่ด้วน แต่ว่าใช้ไม่ได้ เรียกว่าไอ้กะลา หรือคุณกะลา เพราะอยู่ในวัง กะลาเป็นลิงแถวบางขุนเทียนของท่านผู้ว่า ใครเอากะลาเจาะรูไปวาง ลิงอยากรู้ว่าในกะลามีอะไรก็ทั้งจับทั้งกำ มันก็อยู่อย่างนั้น สลัดไม่ออกเพราะกำมือไว้ จนกระทั่ง มือเริ่มจะเน่า หมอไปคอยจับได้ แต่กว่าจะจับได้หลายวัน ผ่ากะลาออก มือพิการ เมื่อมือพิการแล้ว เราจะปล่อย เพราะว่ารักษาหายแล้ว แต่มันก็พิการ ถ้าปล่อยไปในฝูงลิงที่บางขุนเทียน มันก็อยู่ไม่ได้ จะถูกพรรคพวกตี คงตายแน่ จึงนำมาเลี้ยงที่นี่ เรียกว่าคุณกะลา

เมื่อ 2-3 วันนี้ได้ข่าวว่าที่เพชรบุรี มีลิงตัวหนึ่งที่ผูกกะลามังที่เท้า ขาของลิง เขาผูกมันแน่นเข้าทุกที ตีนเลยเน่า ตอนนี้กำลังรักษา เขาบอกว่าต้องตัด น่ากลัวต้องมาเลี้ยงที่นี่ เพราะสงสาร เข้าฝูงไม่ได้ตายแน่ เลยนึกว่า ต้องมาเลี้ยง ลงท้ายก็เป็นพวกพิการ ตัวนั้นชื่อกะลา ตัวนี้ชื่อกะลามัง แต่ว่าไม่ทราบว่าตัวผู้ตัวเมีย ถ้าตัวนี้เป็นตัวผู้ตัวนั้นเป็นตัวเมีย ก็แต่งงานกัน ลูกก็ชื่อกะลาแม แต่สงสัยว่าเป็นตัวผู้ มันซน มันดุ ถ้าเป็นตัวผู้ด้วยกัน ต้องหาภริยาให้เขา ไม่ได้หมายความว่าตัวเมียจะไม่ดุ อาจจะดุก็ได้ ยังไงก็ตาม ถ้าเป็นตัวเมียก็ดี กะลากับกะลามังก็แต่งงานกัน อาจจะเชิญคณะรัฐบาลมาเป็นพยานกัน แล้วท่านประธานสภาด้วย ท่านผู้นำฝ่ายค้านด้วย มาหมด มาอาจจะได้สัมภาษณ์ลิงว่าทำอย่างไร

มาพูดถึงลิง แต่จริงๆแล้วพูดถึงชุมพร ชุมพรปีนี้ผ่านวิกฤตหลายขั้น แต่ก็ยังดี บอกว่าถ้าบริหารโครงการ ระบบด้วยดี ได้ผลและแก้มลิงได้ผล ตะกี้ทำไมนึกถึงลิง แก้มลิงก็หนองใหญ่ ถ้าได้ผล ถ้าบริหารดีๆ การบริหารที่เล่าให้ฟัง เพราะมันต่อเนื่องกับการบริหาร ผู้ที่อยู่ที่นั่นคือผู้ว่าราชการจังหวัดก็ตาม ผู้ที่เป็นข้าราชการในกรมกองต่างๆที่อยู่ประจำ ผู้ว่าราชการจังหวัดย้ายมาแล้ว ผู้ว่าฯคนใหม่เขาก็ดี เขาเข้าใจ ผุ้ที่เป็นข้าราชการและเจ้าหน้าที่ต่างๆ เปลี่ยนกันหมด เหลือคนเดียวที่เป็นคนเดิมคนเก่า อันนี้เป็นสิ่งที่มีความลำบาก เพราะว่าผู้ที่บริหารโครงการจะต้องมีความเข้าใจ ถ้ามีข้อข้องใจแม้จะมีผู้บริหารเข้ามาใหม่ และมีเจ้าหน้าที่ใหม่ ก็ต้องถ่ายทอดความรู้และช่วยกันทำ แสดงให้เห็นว่าไปที่ชุมพรนี่ใช้ได้ ถ้าช่วยกันบริหารด้วยความเข้าใจกัน กิจการก็สำเร็จ ตกลงได้ประหยัดด้วยการลงทุน ประมาณ 35 ล้าน ของมูลนิธิและของข้าราชการก็ลงทุนไปอีกตามงบปกติ ได้สามารถที่จะฟันฝ่าอุปสรรคไปอย่างดี ก็ไม่ทราบใครได้หน้า เพราะว่าเปลี่ยนไป เปลี่ยนคนไปเรื่อย แต่ว่าทุกคนที่มีส่วนได้หน้าทั้งนั้น รวมทั้งเอกชนต่างๆ ที่เขาทำ คืองานที่จะต้องทำ ทำงานเพื่องานให้ได้ผลสำเร็จ วิธีการบางอย่างต้องมีการปรึกษาหารือกันบ้าง ถ้าทำได้ดีมันช่วย มันประหยัด เมื่อประหยัดแล้วก็สามารถที่จะทำโครงการหรือทำการปกครอง ที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่อยากจะพูดว่าเป็นประโยชน์กับประชาชน เพราะว่าเอะอะอะไรก็ประชาชน ประชาชนเขาอย่างนั้นอย่างนี้ ที่จริงประชาชนเขาคอยให้ผู้ที่มีความรู้มากกว่ารัฐบาล ผู้ที่มีความรู้ ผู้ที่มีใจเอื้อเฟื้อให้ไปช่วยเขา ได้ช่วยคือเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เราก็เป็นประชาชนเหมือนกัน เป็นนายก เป็นผู้นำฝ่ายค้าน จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นประชาชนคนไทย ถ้าปฏิเสธก็หมายความว่าไม่ควรจะอยู่เป็นคนไทย แต่คนไทยด้วยกันทุกคน ผู้ใหญ่ผู้โต ผู้น้อย ใครต่อใครก็เป็นประชาชนคนไทยทั้งนั้น คนไหนที่พูดภาษาไทยไม่ชัดก็เป็นคนไทยทุกคน แต่ต้องร่วมมือกันเข้าใจกัน ไม่ทราบว่าก่อนลงมาตั้งใจจะพูดเรื่องอะไรลืมหมดแล้ว พูดอะไรก็ไปตามกลอน ที่จริงเราไม่ได้เป็นนักกลอน แต่ว่ากลอนมันพาไป ก็ไม่ทราบว่าถ้าพูดไม่หมดก็คอยปีหน้า อ้อมีนิดหนึ่งมีคนเขาว่า บอกว่า ที่ไม่มีงานอย่างเช่นวันนี้เพราะว่า ได้ออกสีหบัญชรแล้ว ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น สีหบัญชรนั้นไม่เกี่ยวกับงานเช่นนี้ แต่วันที่ 4 เจ้าหน้าที่ได้ตั้งได้ทำกำหนดการว่าวันที่ 4 ซึ่งเป็นวันที่ตามปกติจะมาพบกันอย่างนี้ มีงานหลวง แต่วันที่ 4 ไม่สามารถที่จะพบกัน ถ้าพบกันงานงานก็ต้องเลื่อน เลื่อนก็ไม่ได้ เพราะเขาตั้งแล้ว ถ้าตั้งกำหนดการแล้วจะไปเลื่อน ก็เลื่อนไม่ได้ ทำไปทำมาเดี๋ยวต้องเลื่อนไปปีหน้า ซึ่งมันไม่เหมาะสม เขาก็อุตส่าห์เลื่อนสวนสนามมาเป็นวันที่ 2 เขาก็บอกว่าวันที่ 3 มีอีก แต่ไม่ไหว วันที่ 3 ไปรับคำนับทหารต่างๆแล้ว ก็วันที่ 3 ขอพักหน่อย พอวันที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ไปตลอดก็มี จนกระทั่งคนที่มาฟังที่นี่เขาก็มีงานของเขา เลยต้องเลื่อนมาถึงวันนี้ ซึ่งอาจจะเป็นฤกษ์ที่ดี พระจันทร์เต็มดวง พระจันทร์นั่นเขาว่าเต็มดวงเต็มที่นะ โตกว่าที่เคยเป็นตั้งเท่าไร 150 ปี ถึงทำให้มีเหตุการณ์แปลก เพราะว่าพระจันทร์อยู่ใกล้ ที่จริงได้ดูพระจันทร์แล้วโตจริงๆ โตสว่าง พระจันทร์สว่าง ไม่ใช่พระจันทร์สว่าง เพราะว่าไม่มีเมฆและมลพิษของกรุงเทพฯ เขาอาจจะไปกวาดแล้วทำให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงเลื่อนมาถึงวันนี้ วันที่ 23 วันที่ 4 ไม่มีทางแล้วก็วันที่ 5 ก็ออกสีหบัญชร ที่จริงอยากจะบอกให้ ออกสีหบัญชรตรงนั้นคับแคบ ค่อนข้างจะร้อน คนที่อยู่ข้างล่าง เขาก็รู้ว่าพูดว่ากระไร เรื่องร้อนคนที่อยู่ข้างบนข้างล่างไม่โดนแดด คนข้างล่างโดนแดดค่อนข้างจะลำบาก มองอะไรไม่เห็น เวลาพูดหงุดหงิด คนที่อ่านถวายพระพรรู้สึกหงุดหงิด แล้วคนที่ฟังข้างล่าง คณะทูตานุทูต ก็หงุดหงิด ก็เลยทำให้มานั่งกันอย่างนี้ดีกว่า เมื่อมานั่งอย่างนี้ก็รู้สึกว่าสบายกว่า แม้คนเยอะแยะ แต่ว่าที่สีหบัญชร นับหรือเปล่า รู้สึกว่าไม่เท่าไรไม่กี่คน แต่ที่นี่ที่มาวันนี้ 21,154 คน แต่ว่าในบัญชีบอกว่า 59 คน ก็ไม่รู้ว่าใครหายไป แต่หายไป 5 คนก็ไม่เป็นไร เขาอาจจะดูทีวีคืนนี้ ดูทีวีว่าพูดอะไรเขาอาจจะดูได้ดีกว่า แล้วก็ไม่เมื่อย อย่างไรก็ตามได้แถลงข่าวแถลงแล้วว่าทำไมมาทำวันนี้ ถ้าทำวันที่ 4 ไม่มีทาง แม้แต่เขาบอกว่าเพราะว่ามีสีหบัญชร แต่ความจริงอีกอย่างหนึ่ง จะต้องแถลงว่าปีที่ผ่านมานี้ ก็ต้องขอบใจทุกคน ต้องขอบใจทั้งฝ่ายราชการ ทั้งฝ่ายเอกชน พ่อค้าประชาชนที่มีโครงการ หรือมีงานการแสดงออกมาซึ่งความเอ็นดู ซึ่งความเป็นห่วง อันนี้ต้องบอกว่าซาบซึ้งจริงๆ มีคนเขาถามมาว่าที่มีงาน ที่มีรายการโดยแต่ละรายการทางโทรทัศน์ เห็นชัดแจ้งขึ้น แต่วิทยุก็ออกทุกวัน ให้พรว่ารู้สึกอย่างไร รู้สึกดีใจหรือเปล่า ก็บอกดีใจ บอกได้ว่าดีใจและขอบใจทุกคนก็ให้ศีลให้พรอย่างนั้น จนกระทั่งตอนต้นปีที่ไม่สบายอย่างหนักๆ เดินไม่ได้เรื่อง เดินตัวเบี้ยว เดี๋ยวนี้ก็ยังเดินตัวเบี้ยวนิดหน่อย แต่ว่าดีขึ้นมากเพราะว่าได้ศีลได้พร ก็ต้องถือโอกาสขอบใจทุกคนที่มาให้พร วันนี้ไม่ให้พรเนื่องจากวันเฉลิม 6 รอบใช่ไหม แต่ว่าถือว่าเมื่อก้าวเข้ามาในรอบที่ 7 แล้ว ก็ขอถือว่าเป็นการมาให้พรสำหรับรอบที่ 7 คือรอบที่ 6 ผ่านไปแล้ว เป็นปีที่ผ่านมาแล้ว ผ่านไปแล้ว แต่ว่าปีต่อไป ไม่ใช่ปี เป็นอีกรอบนี่จบรอบ 6 ตอนนี้เริ่มรอบ 7 คราวเมื่อรอบที่ 5 ครั้งนั้น บอกว่าอายุ 72 จะไปเปิดเขื่อนป่าสัก คงจำได้ เมื่ออายุ 5 รอบครึ่ง บอกว่าอายุ 6 รอบถ้ายังเดินไหว จะไปเปิดป่าสักและฉลองกันอย่างเอิกเกริก ก็เดินไหว ที่จริงนึกว่าจะเดินไม่ไหวแล้ว แต่ก็เดินไหว เพราะพรที่ท่านทั้งหลายได้ให้ วันนี้แม้จะห่างจากวันเกิดแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นวันที่ได้รับพรตั้งแต่ 5 รอบครึ่ง 6 รอบแล้วก็ถึง 7 รอบ ขอขอบใจที่ท่านทั้งหลายได้มาให้พรและขอให้ทุกคนสามารถทำงานอย่างดี มีสุขภาพแข็งแรง จิตใจเข้มแข็ง เพื่อที่จะทำหน้าที่ของตนเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ซึ่งแต่ละท่านก็เป็นส่วนของส่วนรวม ไม่ใช่ไม่เป็นก็เป็นทุกคน ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จความเจริญ

กลับสู่ หน้าดัชนีพระราชดำรัส


สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๔๒ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๗
ห้ามนำข้อมูลของเครือข่ายนี้ ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร