The official emblem for His Majesty the King's 6th Cycle Birthday Anniversary Celebrations, 5 December 1999 Welcome to Kanchanapisek Network Kanchanapisek Network logo


ENGLISH VERSION
หน้าแรก
พระราชประวัติ
พระราชพิธีกาญจนาภิเษก
พระราชกรณียกิจ
โครงการพระราชดำริ
พระราชดำรัส
พระราชอัจฉริยภาพ
เพลงพระราชนิพนธ์
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา
สยามบรมราชกุมารี

หน่วยงาน
ในเครือข่ายกาญจนาภิเษก

หน่วยงานที่ร่วมเสนอผลงาน
เกี่ยวกับเครือข่ายกาญจนาภิเษก
ความรู้เพื่อคนไทย
Site map
Milestones
Feedback

Main Banner

พระราชดำรัส
พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต
วันพฤหัสบดี ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐

AUDIO VIDEO

ขอขอบใจ ท่านทั้งหลาย ที่มาให้พร. เวลาได้ผ่านมา อีกหนึ่งปี. ปีนี้ มีความคล้ายคลึง กับปีที่แล้ว และในหนังสือเล่มนี้ (ทรงชี้ ในหนังสือ พระราชดำรัสปี ๒๕๓๙) มีหลักฐานอยู่. พูดว่าเหล่าพี่ๆ ก็ได้มาให้พร ซึ่งทำให้ สามารถผ่านอีกหนึ่งปี โดยสวัสดิภาพ. เมื่อปีที่แล้ว ได้พูดว่า คนที่จะจำเรื่องราว เมื่อหลายปีมาแล้ว อาจจะหายาก. แล้วก็พูดถึงว่า มีเด็กหัวกลม น่ารัก อันนี้ ก็ที่ได้มาลงรูปภาพ ในเล่มนี้ เป็นหลักฐานว่า เมื่อประมาณ ๖๕ ปี หรือกว่า มีเด็กน่ารัก. พวกพี่ๆ อาจจะดู ไม่ค่อยเห็น ก็ต้องใส่แว่นตา (เสียงหัวเราะ). และเมื่อปีที่แล้ว ก็พูดถึงลิง. หารูปตัวลิงไม่ได้ จึงเอารูปกรงลิง ที่เกิดเหตุ เมื่อหกสิบเจ็ดปีมาแล้ว. กรงลิงนี้ ไม่มีแล้ว เคยอยู่ที่วังสระปทุม. รูปนี้ ได้ถ่ายเอง เมื่อยังไม่ได้รื้อ แต่ไม่มีลิงอยู่แล้ว.

ปีที่แล้ว ก็ได้พูดถึงลิง เพราะมี โครงการแก้มลิง. โครงการแก้มลิงนั้น ได้พูดถึง หลายปีมาแล้ว และเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้ ที่ได้ทำ กิจการแก้มลิงนี้ ก็ได้ผล พอสมควรแล้ว. ปีนี้กรุงเทพฯ น้ำไม่ท่วม แต่ได้ใช้โครงการนี้ ในที่ที่น้ำท่วม และได้เกิดผลดี. เมื่อสองเดือนที่แล้ว มีน้ำท่วมหนัก ในหลายจังหวัด แต่ที่ดูจะรุนแรงที่สุด ก็คือที่ จังหวัดชุมพร. แม้ยังไม่ถึงฤดูกาล ที่จะมีพายุโซนร้อน หรือไต้ฝุ่น ฝนก็ลงมา จนทำให้น้ำท่วม ในตัวเมืองชุมพร มีความเสียหาย เป็นจำนวนมหาศาล. เขาว่าบางแห่ง ท่วมถึงสองเมตร ซึ่งทำให้ มีความเสียหายมาก ต่อทรัพย์สิน ของประชาชน และแม้แต่ สิ่งของ ของทางราชการ เช่น ที่โรงพยาบาล เครื่องเอกซเรย์ ถูกน้ำท่วม เสียหายไป.

ฉะนั้น แม้ต้องลงทุน เพื่อป้องกัน มิให้น้ำท่วมรุนแรง อย่างนั้น ก็ควรทำ. ได้ส่งคนไปดู และเขาถ่ายรูป ทั้งทางบก ทั้งทางอากาศ. และเมื่อดูแผนที่ ก็เห็นว่า มีแห่งหนึ่ง ที่ควรจะทำ เป็นแก้มลิงได้ มีโดยธรรมชาติ คือมีหนองใหญ่. หนองใหญ่นั้น เป็นที่กว้างใหญ่สมชื่อ. แต่ก็ไม่ใหญ่พอ เพราะมีการบุกรุกเข้าไป และตื้นเขิน. แต่ที่สำคัญ มีคลองที่ อยู่ใกล้หนองใหญ่นั้น แต่คลองนั้นยังตัน คือยังไม่ได้ขุดให้ตลอด ยังเหลือระยะ อีกกิโลเมตรครึ่งเศษๆ. น้ำที่ลงในคลองนี้ จะระบายลงไปสู่ทะเล มิให้วกมาท่วมเมือง. จึงถามว่า โครงการที่เขา จะทำนี้ จะขุดคลองนี้ ให้เสร็จได้เมื่อไหร่. เขาบอกว่า มีงบประมาณแล้ว แต่ยังไม่มา และเข้าใจว่า จะทำเสร็จในปีหน้า ในปี ๒๕๔๑.

นึกว่าจะต้องหาวิธี ที่จะใช้ประโยชน์จากคลอง ซึ่งได้ลงทุนมามากแล้ว ให้ได้ประโยชน์ ในฤดูกาลที่ จะมีพายุเข้ามา. เลยบอกเขาว่า จะขอสนับสนุนให้ เจ้าหน้าที่ ที่มีทั้งฝ่ายกรมชลประทาน ทั้งฝ่ายจังหวัด ทั้งบริษัท ที่ได้รับมอบหมายให้ทำ ให้เขาสามารถ รีบขุดตามแผน และให้ทำโครงการเสร็จ ภายในเดือนหนึ่ง แทนที่จะเป็นปีหนึ่ง. ได้รับรองเขาว่า ถ้าต้องการ การสนับสนุน จะให้การสนับสนุนเอง จึงเริ่มทำการขุด และให้ทำท่อ และมีประตูน้ำ ที่จะทะลุออกไป ในหนองใหญ่ เพื่อระบายน้ำลงคลอง ที่จะขุดให้ครบ. บอกเขาว่า ให้เวลาเดือนหนึ่ง เขาก็สั่นหัวว่า งานเช่นนี้ ต้องใช้เวลา ก็เลยบอกกับเขาว่า ขอสนับสนุนด้วยเงินส่วนหนึ่ง ของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ซึ่งได้อุดหนุน ในการใส่ท่อ จากหนองใหญ่ ลงสู่คลอง และมีประตูน้ำ.

สำหรับ การขุดคลอง ให้สำเร็จนั้น ทางมูลนิธิชัยพัฒนา จะสนับสนุน เงินสิบแปดล้าน ซึ่งถ้าทางราชการ มอบเงินตามงบประมาณ ได้เมื่อไหร่ ก็ขอคืน. แต่ไม่ทราบว่า ทางราชการ จะสนับสนุนเงินนี้ หรือไม่. แต่ก็ไม่เป็นไร มูลนิธิก็ยอมที่จะ เสียประโยชน์ไปบ้าง. ทำอย่างนี้ เพราะเห็นว่า การลงทุน แม้จะมีเงินน้อย แต่การลงทุน เพื่อให้มีผลิตผลมากขึ้น ข้อหนึ่ง การลงทุน เพื่อให้ไม่ต้องเสียเงิน อีกข้อหนึ่ง เป็นสิ่งที่คุ้ม เพราะว่าถ้าเราไม่ทำ ก็เชื่อว่าการที่มีน้ำท่วม ทั้งที่ทำการเพาะปลูก ทั้งสถานที่ราชการ หรือเอกชนเสียหายนั้น จะต้องเสียเงิน มากกว่ามาก คือ เสียเงินค่าสงเคราะห์ ผู้ที่เสียหาย. ถ้าไม่มีความเสียหาย ก็ไม่ต้องเสียเงิน ประชาชนจะได้ ทำมาหากินอย่างปกติ ผลของงานของเขา ก็จะเป็นรายได้. นอกจากรายได้ ก็จะได้รับความสะดวก เช่น เครื่องเอกซเรย์ ที่ได้กล่าวถึง ก็จะบริการประชาชน ที่เจ็บป่วย ได้ตามปกติ. ฉะนั้น การที่ลงทุน เพื่อให้สำเร็จ ภายในเดือนนั้น สิบแปดล้านกว่า ก็น่าจะคุ้มค่า เป็นการประหยัดเงิน ของประชาชน ทั้งเป็นการประหยัดเงิน ของราชการด้วย.

สำหรับประตูน้ำนั่น ก็ได้ผล เมื่อพายุ "ลินดา" เข้า ทีแรกนึกว่า จะเข้าชุมพร. ทางกรมอุตุนิยมฯ ได้แจ้งว่า จะเข้าแถวชุมพร แต่ว่าความจริง นึกว่าจะเลยชุมพรขึ้นมา ถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดเพชรบุรี. เช่นนั้นก็จะทำให้ ชุมพรไม่โดน กำลังแรงที่สุดของพายุ. แม้กระนั้น โดยที่คลองท่าตะเภา - เขาเรียกว่าคลอง - คือลำน้ำ ที่ผ่านเมืองชุมพร มีต้นน้ำขึ้นไป ถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ก็เข้าใจว่า น้ำจะลงมามาก. ถึงเวลาพายุ "ลินดา" เข้า ฝนก็ลงตลอดแถว ตั้งแต่เหนือของชุมพร ไปถึงเพชรบุรี น้ำก็จะท่วม. แต่โดยที่ ได้ระบายน้ำ ออกจากหนองใหญ่ ลงคลองที่ขุด ทะลุลงทะเลไปได้แล้ว ก่อนที่น้ำ อันเนื่องจากพายุลงมาถึง หนองใหญ่จึงรับน้ำที่ลงมาได้ แล้วระบาย ลงทะเล ตามหน้าที่ของหนองใหญ่ ในฐานะเป็นแก้มลิง. ลงท้าย ตัวเมืองชุมพร และชนบท ข้างๆ ชุมพร น้ำจึงไม่ท่วม แม้จะมีพายุ มาอย่างหนัก จึงเป็นชัยชนะ ที่ใหญ่หลวงของ มูลนิธิชัยพัฒนา. มูลนิธิชัยพัฒนา จึงมีผลงานสมชื่อ.

ผลงานของ มูลนิธิชัยพัฒนา และของมูลนิธิ ราชประชานุเคราะห์ - ซึ่งหมายถึงว่า พระราชา กับประชาชน อนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน - ทำให้ประชาชนชาวชุมพรร่วมกันบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนโครงการ. ตามปกติ ชาวชุมพรก็ไม่ค่อยได้แยแส กับการบริจาคนัก แต่เมื่อเห็นผลงาน ที่ฉับพลันดังนี้ ก็บริจาคเงินเป็นแสน. การที่สองเดือนที่แล้ว มีเหตุการณ์น้ำท่วม และสามารถที่จะ ทำให้น้ำท่วมนั้น บรรเทาลงได้ ก็เป็นการดี. ที่จังหวัดอื่น ก็เข้าใจว่า มีทางที่จะทำ เช่นเดียวกัน โดยมีการลงทุนบ้าง และจะเป็นผลให้ประหยัด ด้านการสงเคราะห์ เนื่องจาก ความเสียหาย เช่น พืชผล จะจมน้ำตาย. เมื่อพืชผล จมน้ำตาย ทางราชการ ก็ต้องส่งเสริม สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ หรือส่งเสริม ให้ประชาชนมีอยู่ มีกินได้. ฉะนั้น เห็นว่าการลงทุนนี้ คุ้มค่า.

ที่นายกฯ กล่าวว่า ระยะนี้ เป็นระยะ ที่วิกฤต ก็ต้องพิจารณาอยู่เสมอว่า อะไรควรทำ อะไรควรเว้น. ที่ท่านเห็น อยู่บนเวทีนี้ คงแปลกใจ. อาจคิดว่า จะมาตีกลองยาว หรืออย่างไร. แต่ข้อสำคัญอยู่ที่ หีบที่ใส่กลองยาวนี้ เห็นได้ชัดว่า เขียนว่า MADE IN THAILAND. MADE IN THAILAND นี่จะเป็นประโยชน์. ถ้าเรามาใช้ของไทย ซื้อของไทย เที่ยวเมืองไทย กินข้าวไทย อันนี้จะได้ประโยชน์. แต่ว่าก็ยัง ไม่แก้ปัญหา. ปัญหามีอยู่ว่า ผู้ที่ทำกลองนี้ เขามีบริษัท ที่นำเข้าสินค้า ที่เขาขาย. เขาบอกว่าแย่ เขานำเข้าสินค้ามา และขายในราคาเดิม เพราะมีการ ตกลงราคาขายอยู่แล้ว. เมื่อของเข้ามา ก็จะต้องเสียเงินแพง. เขาบอกว่าขาดทุน. แต่เขามีความคิดอยู่ เขาสามารถที่จะ ผลิตกลองนี้ และส่งนอก ส่งไปที่อเมริกาส่วนหนึ่ง ส่งไปที่ยุโรปส่วนหนึ่ง.

เขาต้องทำงานหนัก. เพิ่งได้ส่งสินค้าไป. ถัวกับที่เขาสั่งเข้า ก็ยังพอไปได้. และถ้ากลองนี้ เป็นที่นิยมมาก ก็จะสามารถที่จะ มีกำไร และประเทศชาติ ก็จะมีกำไรไปด้วย เพราะว่าการสั่งของจากต่างประเทศ ก็มีความจำเป็นบ้าง ในบางกรณี. แต่ว่าสามารถ ที่จะส่งออกนอก ซึ่งผลิตผล ที่ทำในเมืองไทย ก็จะดีกว่า. ไม้ที่ใช้ทำกลองนี้ ก็เป็นไม้ ที่มีในเมืองไทย เป็นไม้ที่ โดยมาก ไม่ค่อยได้ใช้ ไม่ใช่ไม้ที่ต้องห้าม อย่างที่เขาห้ามตัดป่าไม้ ไม่ใช้ไม้ที่เป็นป่าไม้ เป็นไม้ยางพารา. ไม้ยางพารา ที่ต้องเปลี่ยน เพื่อให้มีผลผลิตยางดีขึ้น เขาตัดยางเก่าเอามา. โดยมาก ก็ไม่ได้ใช้มากนัก มาตอนหลังนี้ มีการใช้ทำเป็นเครื่องเรือนบ้าง. สำหรับกรณีนี้ เขาลงไปภาคใต้ ไปซื้อไม้ยาง มาด้วยตนเอง แล้วนำมาทำกลองนี้.

มีกลองแบบ กลองยาว และมีกลองแบบ กลองเล็กๆ. ใช้ไม้ในเมืองไทย และหนังที่ขึงบนกลองนั้น ก็เป็นสิ่งที่ผลิต ในเมืองไทยเหมือนกัน. ฉะนั้น สามารถที่จะทำให้ มีการส่งออกสิ่งของ ที่ทำด้วยวัตถุดิบ ในเมืองไทย และทำด้วย แรงงานของคนไทย. อันนี้ เป็นการแก้ไข สถานการณ์วิกฤตอย่างดี. เป็นของเอกชน เขาทำเอง แต่เขาก็ต้อง เหน็ดเหนื่อย. เขาบอกว่าเหนื่อยมาก และจะเป็นโรคประสาท เพราะกลัวว่า จะทำไม่ทันส่ง. เมื่อส่งไปแล้ว เขาก็มาพบ และมามอบผลิตผลของเขา และบอกว่าสบายใจขึ้น. อันนี้ก็เป็นวิธี แก้ไขวิกฤตการณ์ ที่เห็น เป็นประจักษ์ว่าทำได้ แต่ต้องมีความเพียร ต้องมีความอดทน.

ดังนี้ก็ทำให้คิดว่า วิกฤตการณ์ เกิดขึ้นมาอย่างไร. เราเป็นเมืองอุดมสมบูรณ์ และเราก็ได้ชื่อว่า กำลังก้าวหน้าไปสู่ เมืองที่เป็น มหาอำนาจทางการค้า. ทำไมเกิดมีวิกฤตการณ์. ความจริงวิกฤตการณ์นี้ เห็นได้มานานแล้ว สี่สิบกว่าปีมาแล้ว แต่ไม่รู้ตัว. เมื่อ ๔๐ กว่าปี มีผู้หนึ่งเป็นข้าราชการ ชั้นผู้น้อย มาขอเงิน. ที่จริงก็ได้เคยให้ เงินเขาเล็กๆ น้อยๆ อยู่เรื่อยๆ เขาบอกไม่พอ. เขาก็ขอยืมเงิน ขอกู้เงิน. เมื่อเขาขอกู้เงิน ก็บอกว่า เอ้า…ให้ แต่ขอให้เขาทำบัญชี บัญชีรายรับ บัญชีรายจ่าย. รายรับก็คือ เงินเดือนของเขา ซึ่งเป็นข้าราชการ ชั้นผู้น้อย และเงินที่อุดหนุนเขา. ส่วนรายจ่าย ก็เป็นของที่ใช้ ในครอบครัว. แต่มีสิ่งหนึ่ง ที่ครั้งนั้นไม่เข้าใจ ไม่เคยเห็น คือไม่เคยทราบ มีรายการหนึ่ง บอกว่าค่าแชร์. แล้วอีกตอนหนึ่ง ก็มีค่าแชร์อีก.

ถามเขาว่า แชร์คืออะไร. เขาก็อธิบายว่า เป็นเงินที่จ่ายให้ "เจ้ามือ" จ่ายให้เขา ทุกเดือน. เมื่อเดือดร้อน ก็ขอ "ประมูลแชร์" ได้. แต่การประมูลนี้ ก็หมายความว่า… สมมติว่า แชร์หนึ่ง ต้องเสียเดือนละ ร้อยบาท เขาก็จะได้รับ คล้ายๆ เงินกู้. ควรจะได้เป็น เงินพันสองร้อยบาท ต่อปีหนึ่ง โดยให้ร้อยบาท ต่อเดือน. ก็ควรจะดี แต่เขาไม่ได้รับ พันสองร้อยบาท. เขาได้ราวๆ แปดร้อยบาท หรือเจ็ดร้อยบาท เท่านั้น แล้วแต่จะประมูลได้. คนที่มีเงิน เขาไม่ประมูล เขาทิ้งไว้ ในแชร์นั้น. ถึงเวลา เขาก็จะได้เงินกลับ คือมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย บวกดอกเบี้ย. ถามเขาว่า ทำอย่างนี้ สามารถที่จะหมุนเงิน ได้หรือเปล่า. แล้วก็ถามเขาว่า ทำไมจ่ายค่าแชร์แล้ว ยังจ่ายแชร์ ซ้ำอีกทีหนึ่ง. เขาบอกว่า สำหรับจ่ายแชร์เดือนนั้น เขาต้องออกมา ทำแชร์สัปดาห์ คือ ๗ วัน. ๗ วันนี้เขาก็เปียแชร์มา สำหรับไปใช้ ค่าแชร์เดือน.

เขาก็นึกว่า เขาฉลาด. ความจริงแชร์นี่ ไม่ใช่เฉพาะ คนนี้เท่านั้น แต่มีทั่วไปทุกแห่ง ทั้งทางราชการ ทุกกระทรวง ทบวง กรม ก็มี ทุกบริษัท ทุกส่วน แม้จะเอกชน เขาก็มีแชร์. ได้บอก ให้เขาเลิกแชร์ เลิกแล้ว ให้ทำบัญขี ต่อไป. ทีหลังเขาทำบัญชีมา เขาไม่ขาดทุนแล้ว. เขาสามารถ ที่จะมีเงินพอใช้ เพราะบอกให้เขาทราบว่า มีเงินเดือนเท่าไหร่ จะต้องใช้ ภายในเงินเดือนของเขา. การทำแชร์นี้ เท่ากับเป็นการกู้เงิน. การกู้เงิน ที่นำมาใช้ในสิ่ง ที่ไม่ทำรายได้นั้นไม่ดี. อันนี้เป็นข้อสำคัญ เพราะว่าถ้ากู้เงิน และทำให้มีรายได้ ก็เท่ากับ จะใช้หนี้ได้ ไม่ต้องติดหนี้ ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องเสียเกียรติ.

มีอีกรายหนึ่ง ในระยะนั้น กว่า ๔๐ ปี ก็เข้ามาบอก ขอกู้เงิน เขาขอกู้เงิน สามหมื่นบาท. ถามว่า เอาไปทำอะไร บอกว่าจะไปซื้อเครื่องมือ สำหรับตัดเย็บผ้า ให้ภรรยาทำร้าน. ก็ตกลงให้เขา แล้วเขาจะคืนมาเมื่อไหร่ ก็แล้วแต่เขา. ในที่สุด เมื่อเขาตั้งร้านแล้ว เขาก็เอาเงินมาคืน ทุกเดือนสม่ำเสมอ จนกระทั่งหมด จำนวนที่ได้ให้กู้. ด้วยความฉลาด ด้วยความซื่อสัตย์ของเขา รู้ว่ากิจการนี้ จะทำให้มีกำไรได้ สามารถที่จะคืนเงิน มาให้ครบจำนวนที่กู้ และต่อไป ก็เป็นกำไรทั้งนั้น ก็ชมเขาว่าดี. คือคนนี้ เขาเป็นคนซื่อสัตย์ และในที่สุด ก็มาเป็นคนที่ช่วย ในด้านช่างฝีมือ และได้รับใช้ อย่างซื่อสัตย์ จนกระทั่ง ถึงสิ้นอายุ. คนแรก ที่เอาเงินไปใช้แชร์นั้น ก็ไม่มีชีวิตแล้วเหมือนกัน.

มีอีกรายหนึ่ง เขามาวันหนึ่ง เอาหัวเข็มขัดมาให้. เราถามว่าหัวเข็มขัดนี่ เอามาให้ทำไม. ในที่สุดก็ทราบว่า เขาขอกู้เงิน. อันนี้ ก็เป็นสิ่งที่ประหลาด เพราะว่า เขาไม่มีเงินใช้ ทำไมไปซื้อหัวเข็มขัด ซึ่งก็ราคา ไม่ค่อยถูกนัก เอามาให้. ก็เลยบอกเขาว่า ไม่ให้ไปหาเงินที่อื่น เพราะว่าทราบดีว่า ถ้าให้เขา เขาจะไม่มีเอามาใช้คืน. เงินที่จะให้เขาก็มี แต่ถ้าให้เงินเขาแล้ว เขาก็เอาไปใช้ อย่างอีลุ่ยฉุยแฉก และไม่มีผล อย่างผู้ที่ขอกู้ สำหรับทำอาชีพ จะกลายเป็น การทำให้คน ยิ่งเสียใหญ่. อันนี้ เป็นสิ่งที่ จะต้องสอนว่า กู้เงิน เงินนั้นจะต้อง ให้เกิดประโยชน์ มิใช่กู้สำหรับ ไปเล่น ไปทำอะไร ที่ไม่เกิดประโยชน์.

อันนี้ ก็มีอีกคนหนึ่ง. เขาจะแต่งงาน และขอกู้เงิน. นึกว่าคนนั้น เขาก็ทำงานมาดี ก็น่าจะให้ เหมือนเป็นรางวัลเขา ก็ให้เงินเขาหมื่นบาท. สมัยโน้นหมื่นบาท ไม่ใช่น้อย. หมื่นบาท เพื่อจะไปจัดงานแต่งงานของเขา. ตกลงเขาได้แต่งงาน. เขายังไม่ได้คืนเงิน ก็ไม่ค่อยถืออะไร เพราะว่าเขาแต่งงาน เขามีความสุข ก็ดีไป. เขาจะได้ทำงานได้ดี. แต่หารู้ไม่ว่า สักปีสองปีภายหลัง เขามาขอเงินสามหมื่นบาท. เลยบอก เอ๊ะ! สามหมื่นบาท ไปทำอะไร. เขาบอกว่า เมื่อแต่งงาน เงินไม่พอ เขาจึงไปกู้เงินที่อื่นมา. ใช้หนี้ไม่ได้ และต้องเสียดอกเบี้ย จนกระทั่ง เงินที่ใช้หมดแล้ว.

ต้องใช้ดอกเบี้ย จำนวนทั้งหมด ทั้งต้น และดอกนั้น ก็คือสามหมื่นบาท ไม่นับเงิน หนึ่งหมื่นบาท ที่เราให้เขาไปแล้ว. หมายความว่า ไปติดหนี้นุงนัง หนี้ที่ไม่สามารถ ที่จะใช้คืนได้. เลยไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะได้ความว่า ถ้าไม่ได้อย่างนี้ เขาจะฆ่าตัวตาม เพราะไม่มีทางออก. เงินเดือนเขาก็ไม่พอ ที่จะไปใช้หนี้. ดอกเบี้ย ก็จะเพิ่มขึ้นทุกที. ทุกครั้ง ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ก็ต้องติด อีกต่อไป ทบต้น. ก็เลยเห็นว่า เมื่อครั้งแรก เขาขอยืมเงิน สำหรับแต่งงาน น่าจะมีความสุข กลับมีความทุกข์. ก็เลยคิดว่าไหนๆ ให้ไปหมื่นบาทแล้ว ก็ควรให้ครบ ที่จะไปใช้หนี้ได้. ลงท้าย เขาก็สามารถ มีชีวิตต่อไป และทำงานได้. แต่คงเป็นบทเรียนที่ดี. อันนี้ ก็หมายความว่า เขาขอเรา เราก็ให้ เราก็ได้ ช่วยชีวิตเขา.

มีอีกรายหนึ่งมา เป็นคนข้างนอก เขามาบอกว่า ลูกของเขาเจ็บตา ถ้าไม่ทำอะไร ตาจะบอด เราก็สงสารเขา ก็ให้เงินเขา สามหมื่นบาทเหมือนกัน. ลงท้ายก็ไม่ทราบว่า ลูกเขาได้ไปผ่าตัดตา ได้ผลดีอย่างไร. แต่วันหนึ่ง ก็โผล่มาอีกที บอกว่าเรียบร้อยแล้ว ลูกนั้นเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ขอบ้าน ขอบ้านอยู่. แล้วเขาก็ไปสืบเสร็จว่า บ้านนั้นว่างแล้ว. ขออยู่ฟรี ก็เลยเลิกเลย เพราะว่าเขา ควรจะมีฐานะ พอสมควร ที่จะ มีบ้านอยู่. บ้านที่ขอนี้ เป็นบ้านที่ นับว่าใหญ่. ถ้าให้บ้านตามที่เขาขอ เขาก็จะต้องมาขอ ค่าใช้จ่าย สำหรับในบ้านอีก. เมื่อบ้านใหญ่ ก็คงมีญาติ มีเพื่อน มาอาศัยบ้านอีกที ก็ต้องเสียเงินอีก เลยบอกไม่ให้. ที่พูดไม่ให้นั้น ก็เรียกว่า มีความเดือดร้อนเหมือนกัน ที่จะพูดอย่างนั้น เพราะว่า จะว่าสงสาร ก็สงสาร. เวลาใครมาขออะไร แล้วไม่สามารถที่จะให้ มันก็ไม่ค่อยสบายใจ. ในที่สุดก็เงียบไป. เรื่องเหล่านี้ ที่เล่าให้ฟัง ก็เพราะว่า มันเป็นต้นเหตุของ วิกฤตการณ์ปัจจุบัน.

ต้องเล่านิทาน อีกเรื่องหนึ่ง. คือ ไปทางชลบุรี ครั้งหนึ่ง นี่ก็ หลายสิบปีมาแล้ว. มีพ่อค้าคนหนึ่ง เขาบอกว่า เขาทำโรงงาน สำหรับทำ สับปะรดกระป๋อง. เขาลงทุนเป็นล้าน จำไม่ได้แล้ว กี่ล้าน เพื่อสร้างโรงงาน. การลงทุนมากอย่างนั้น บอกให้เขาทราบว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย. เพราะว่าเคยทำ โรงงานเล็กๆ ที่ทางภาคเหนือ ใช้เงินสามแสนบาท เพื่อที่จะเอาผลิตผล ของชาวบ้านชาว เขามาใส่กระป๋อง แล้วขาย ก็ได้ผล. เป็นโรงงานเล็กๆ. บอกว่า ที่เขาลงทุนเป็นล้าน รู้สึกว่าเสี่ยง. เขาบอกว่า ต้องทำอย่างนั้น เขาก็ลงทุน. ทำไปทำมา สับปะรดที่ อำเภอบ้านบึง ทางชลบุรี ก็มีไม่พอ. เมื่อมีไม่พอ ต้องไปสั่งสับปะรด มาจากปราณบุรี. สับปะรดจากปราณบุรี ต้องขนส่งมา ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก. ทำไปทำมา โรงงานก็ล้ม. อย่างนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า ทำโครงการอะไร ก็จะต้อง นึกถึงขนาดที่เหมาะสม กับที่เรียกว่า อัตภาพ หรือกับสิ่งแวดล้อม.

นี่พูดไปพูดมา ยังมีอีกรายการหนึ่ง. ที่ลำพูน มีการตั้งโรงงาน สำหรับแช่แข็งผลผลิต ของชาวไร่. ได้ไปเยี่ยม เขาบ่นว่า ข้าวโพดที่เขาใช้ สำหรับแช่แข็ง คุณภาพไม่ค่อยดี ก็เลยซื้อ ในราคาแพงไม่ได้. ตอนนั้น ก็ยังไม่ทราบว่า เขาจะมีอันเป็นไปอย่างไร. ก็บอกเขาว่า นี่น่าจะส่งเสริม ด้านการเงิน ให้เกษตรกร ที่ปลูกข้าวโพด ให้ได้ข้าวโพด ที่มีคุณภาพดี โรงงานจะเจริญ. เขาบอกให้ไม่ได้ เพราะว่าคุณภาพไม่ดี. อันนี้ก็ เป็นปัญหาโลกแตก ถ้าไม่ให้ ราคาดี หรือไม่สนับสนุนเกษตรกร ในการเพาะปลูก ก็จะไม่ได้ รับประโยชน์ จะไม่ได้คุณภาพ จะได้ข้าวโพด ที่ฟันหลอ ซึ่งเขาก็บอกว่า ต้องทิ้ง เพราะว่าเครื่องจักรของเขา ต้องมีข้าวโพด ที่ขนาดเหมาะสม. อย่างนี้โรงงานนั้น - ความจริง ไม่ได้แช่งเขา - แต่นึกในใจว่า โรงงานนี้อยู่ไม่ได้. แล้วในที่สุดก็จริงๆ ก็ล้ม. อาคารอะไรต่างๆ ก็ยังอยู่เดี๋ยวนี้ แต่ไม่มีใคร เป็นเจ้าของ เกะกะอยู่.

ฉะนั้น การที่จะทำ โครงการอะไร จะต้องทำ ด้วยความ รอบคอบ และอย่าตาโตเกินไป. คือบางคนเห็นว่า มีโอกาส ที่จะทำโครงการ อย่างโน้นอย่างนี้ และไม่ได้นึกถึงว่า ปัจจัยต่างๆ ไม่ครบ. ปัจจัยหนึ่ง คือ ขนาดของโรงงาน หรือเครื่องจักร ที่สามารถ ที่จะปฏิบัติได้. แต่ข้อสำคัญที่สุด คือ วัตถุดิบ. ถ้าไม่สามารถ ที่จะให้ค่าตอบแทน วัตถุดิบ แก่เกษตรกร เกษตรกร ก็จะไม่ผลิต. ยิ่งถ้าวัตถุดิบ สำหรับใช้ ในโรงงานนั้น เป็นวัตถุดิบ ที่ต้องนำมาจาก ระยะไกล หรือนำเข้า ก็จะยิ่งยาก เพราะว่า วัตถุดิบที่นำเข้านั้น ราคายิ่งแพง. บางปีวัตถุดิบนั้น มีบริบูรณ์ ราคาอาจจะ ต่ำลงมา แต่เวลาจะขายสิ่งของ ที่ผลิตจากโรงงาน ก็ขายยากเหมือนกัน เพราะว่ามีมาก จึงทำให้ ราคาตก. นี่ก็เป็นกฎเกณฑ์ ที่ต้องมี.

แต่ข้อสำคัญ ที่อยากจะพูดถึง คือ ถ้าเราทำโครงการ ที่เหมาะสม ขนาดที่เหมาะสม อาจจะไม่ดูหรูหรา แต่จะไม่ล้ม หรือถ้ามีอันเป็นไป ก็ไม่เสียมาก. เช่น โรงงานกระป๋อง ที่ริเริ่มทำ ที่อำเภอฝางนั่น วันหนึ่ง เขาติดต่อมา บอกว่าน้ำท่วม น้ำเขาลงมา พัดโรงงานเสียหาย ก็เลยบอกว่า ไม่เป็นไร จะสนับสนุนเงินเพิ่มเติม. ที่ดินที่ตรงนั้น ก็ซื้อไว้แล้ว และเครื่องมือ เครื่องใช้ ก็ไม่เสียหมด. ก็สนับสนุนเขา อีกสี่แสน คือ เป็นสี่แสน ไม่ใช่สามแสน ตามราคาเดิม เพราะว่า เป็นเวลาที่เงิน มีค่าน้อยลง. ตั้งขึ้นมาใหม่ ต่อไป ก็ใช้งานได้ มีกำไร. อันนี้เกิดขึ้น หลายปีมาแล้ว. มาเร็วๆ นี้ โครงการต่างๆ โรงงาน เกิดขึ้นมามาก จนกระทั่งคนนึกว่า ประเทศไทยนี้ จะเป็นเสือตัวเล็กๆ แล้วก็เป็นเสือ ตัวโตขึ้น. เราไปเห่อว่า จะเป็นเสือ.

ความจริง เคยพูดเสมอ ในที่ประชุม อย่างนี้ว่า การจะเป็นเสือนั้น ไม่สำคัญ. สำคัญอยู่ที่ เรามีเศรษฐกิจ แบบพอมีพอกิน. แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียง กับตัวเอง. อันนี้ ก็เคยบอกว่า ความพอเพียงนี้ ไม่ได้ หมายความว่า ทุกครอบครัว จะต้องผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้าใส่เอง. อย่างนั้น มันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้าน หรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียง พอสมควร. บางสิ่งบางอย่าง ที่ผลิตได้ มากกว่าความต้องการ ก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไหร่ ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก. อย่างนี้ท่านนักเศรษฐกิจต่างๆ ก็มาบอกว่าล้าสมัย. จริง อาจจะล้าสมัย คนอื่นเขาต้องมี การเศรษฐกิจ ที่ต้องมี การแลกเปลี่ยน เรียกว่า เป็นเศรษฐกิจการค้า ไม่ใช่เศรษฐกิจ ความพอเพียง เลยรู้สึกว่า ไม่หรูหรา. แต่เมืองไทย เป็นประเทศ ที่มีบุญอยู่ว่า ผลิตให้พอเพียงได้.

อย่างข้าวที่ปลูก เคยสนับสนุน ให้ปลูกข้าว ให้พอเพียง กับตัวเอง แต่ละครอบครัว เก็บเอาไว้ ในยุ้งเล็กๆ แล้วถ้ามีพอก็ขาย. แต่คนอื่น กลับบอกว่า ไม่สมควร. โดยเฉพาะ ในทางภาคอีสาน เขาบอกว่า ต้องปลูกข้าวหอมมะลิ เพื่อจะขาย. อันนี้ถูกต้อง ข้าวหอมมะลิ ขายได้ดี แต่เมื่อขายแล้ว จะบริโภคเอง ต้องซื้อ ต้องซื้อจากใคร. ทุกคนก็ ปลูกข้าวหอมมะลิ. ในภาคอีสานส่วนมาก เขาชอบบริโภคข้าวเหนียว ซึ่งใครจะเป็น คนปลูกข้าวเหนียว เพราะ ประกาศโฆษณาว่า คนที่ปลูกข้าวเหนียว เป็นคนโง่. อันนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญ. เลยได้สนับสนุน บอกว่า ให้เขาปลูกข้าว บริโภค เขาจะชอบข้าวเหนียว ก็ปลูกข้าวเหนียว. เขาจะชอบปลูกข้าว อะไรก็ตาม ให้เขาปลูกข้าวอย่างนั้น และเก็บไว้ เพื่อที่จะ บริโภคตลอดปี ถ้ามีที่ ที่จะทำนาปรัง หรือมีที่มากพอ สำหรับปลูกข้าว ก็ปลูกข้าวหอมมะลิ เพื่อที่จะขาย.

ที่พูดอย่างนี้ ก็เพราะว่า ข้าวที่ปลูก สำหรับบริโภค ไม่ต้องเที่ยวรอบโลก. ถ้าข้าวที่ซื้อมา ต้องเที่ยว อาจจะไม่ถึงรอบโลก แต่ก็ต้อง ข้ามจังหวัด หรืออาจจะ ข้ามประเทศ ค่าขนส่งนั้น ก็บวกเข้าไป ในราคาข้าว ตกลง เขาจะต้องขายข้าว ในราคาถูก เพราะว่าข้าวนั้น ต้องขนส่ง ไปสู่ต่างประเทศ ที่จะขายได้กำไร ก็ต้องบวกค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็บวกเข้ามา ในราคาข้าว. หมายความว่า ราคาข้าวของเกษตรกร จะถูกตัด. เขาบอกว่า ขายข้าวหอมมะลิ ได้ราคาแพง จริง ตอนขายถึงผู้บริโภค ในต่างประเทศ แต่ต้นทาง ก็ไม่ได้ ค่าตอบแทนมากนัก และยังต้องไป ซื้อข้าวบริโภค ซึ่งจะแพงกว่า เพราะว่าจะต้อง ขนส่งมา.

ในข้อนี้ ได้ทราบดี เพราะเมื่อมี ภัยธรรมชาติ จะเป็นที่ไหนก็ตาม สมมติว่า เกิดที่เชียงราย มีเจ้าหน้าที่ ออกไปสงเคราะห์ แล้วก็ขอข้าว เพื่อไปแจก. เราก็ซื้อข้าว ซื้อข้าว ในราคากรุงเทพฯ หมายความว่า ข้าวนั้นมาจาก เชียงราย เพราะเชียงราย เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ขนส่งมาถึงกรุงเทพฯ. ซื้อที่กรุงเทพฯ แล้วก็ส่ง ไปเชียงราย. เสียค่าขนส่งเท่าไหร่. แท้จริง ไปซื้อที่เชียงรายได้ ซื้อที่กรุงเทพฯ นี่ แต่ให้เขาจ่าย ที่เชียงราย. ข้าวนั้น ไม่ต้องเดินทาง แต่ว่าราคานั้น "เดินทาง" คือพ่อค้า เขานำข้าว มาในนาม - ในเอกสาร - นำเข้ากรุงเทพ" และเมื่อเราสั่งข้าว คำสั่งนั้น ต้องเดินทาง ไปเชียงราย. แต่ไม่ใช่เอกสาร สั่งข้าวเท่านั้น ที่เดินทางไป เขายังเอาค่าขนส่งข้าว จากเชียงราย เข้ากรุงเทพฯ และค่าขนส่ง จากกรุงเทพฯ กลับไปเชียงราย บวกเข้าไปอีก. ลงท้าย ต้องเสียราคาข้าวแพง. ผู้ที่บริโภคข้าว ในภาคเหนือ ก็ต้องเสียราคาแพง. ทางภาคใต้ ก็เช่นเดียวกัน นั่นใกล้หน่อย อย่างนราธิวาส ซื้อข้าวจากพัทลุง.

สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องของ "เศรษฐกิจ แบบค้าขาย" ภาษาฝรั่ง เขาเรียก TRADE ECONOMY ไม่ใช่ "แบบพอเพียง" ซึ่ง ฝรั่งเรียก SELF-SUFFICIENT ECONOMY. ที่ไหนทำแบบ SELF-SUFFICIENT ECONOMY คือ เศรษฐกิจแบบพอเพียง กับตัวเอง เราก็อยู่ได้ ไม่ต้องเดือดร้อน. อย่างทุกวันนี้ เราเดือดร้อน สำหรับข้าว ก็เห็นชัด. สำหรับสิ่งอื่น ประชาชนก็ต้องใช้ มีสิ่งของจำเป็น ที่จะใช้หลายอย่าง ที่เราทำได้ ในเมืองไทย. แล้วก็สามารถ ที่จะเป็นสินค้า ส่งนอก. ใช้เองด้วย และเป็นสินค้า ส่งนอกด้วย. แต่ว่า สำหรับส่งนอกนั้น ก็มีพิธีการ ที่จะต้องผ่าน มากมาย ลงท้าย กำไรเกือบไม่เหลือ. แต่ถ้าสามารถ ติดต่อโดยตรง ก็อย่าง กลองนี้ เขาติดต่อโดยตรง ก็ส่งไปลงเรือ ที่เรียกว่า CONTAINER. ส่งไปเต็ม CONTAINER และค่าขนส่งนั้น ก็ไม่แพงนัก.

ที่พูดกลับไปกลับมา ในเรื่องการค้า การบริโภค การผลิต และการขายนี้ ก็นึกว่า ท่านทั้งหลาย กำลังกลุ้มใจ ในวิกฤตการณ์. ตั้งแต่คนที่ มีเงินน้อย จนกระทั่ง คนที่มีเงินมาก ล้วนเดือดร้อน. แต่ถ้าสามารถ ที่จะเปลี่ยนไป ทำให้กลับเป็น เศรษฐกิจแบบพอเพียง ไม่ต้องทั้งหมด แม้แค่ครึ่ง ก็ไม่ต้อง อาจจะสักเศษหนึ่งส่วนสี่ ก็จะ สามารถอยู่ได้. การแก้ไข อาจจะต้อง ใช้เวลา ไม่ใช่ง่ายๆ. โดยมาก คนก็ใจร้อน เพราะเดือดร้อน แต่ว่าถ้าทำ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ก็สามารถ ที่จะแก้ไขได้. ที่จริงในที่นี้ ก็มีนักเศรษฐกิจต่างๆ ก็ควรจะเข้าใจ ที่พูดไป ดังนี้.

อย่างรถที่ นั่งมาตะกี้ ท่านเห็น หรือไม่เห็น ก็ไม่ทราบ สร้างด้วย ฝีมือคนไทย แล้วก็ใช้วัตถุดิบ ในเมืองไทย จำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะค่าแรง. โรงงานเดี๋ยวนี้ ผลิตไม่ได้ เพราะว่า ไม่มีคนซื้อ อาจจะมีคนอยากซื้อ แต่คนซื้อ ไม่มีเงิน. ไม่มีการหมุนเวียน ของเงิน เขาเลยสร้าง รถคันนี้มา. คนที่สร้างรถคันเดียวนี้ มีจำนวน สองร้อยกว่าคน. ก็เลยทำให้เห็นว่า น่าจะหาทาง ที่จะช่วยเหลือ คนที่อยู่ ในโรงงานนี้. โรงงานเขาก็ดี เขาก็ดูแลคนงาน ไม่ได้ทำให้คนงาน เดือดร้อน จนเกินไป. เขาเท่ากับ มีสวัสดิการ งานก็ทำไม่มาก เท่าก่อนนี้ แล้วเงินที่ได้ ก็อาจจะ ไม่มากเท่าก่อนนี้ แต่พออยู่ได้.

เขามีความตั้งใจ ที่จะทำการเกษตรกรรม ในพื้นที่ ที่ยังว่างเปล่าอยู่. เขาบอกว่า เขาขอไปดูโครงการ ที่เขาหินซ้อน ว่าทำอย่างไร สำหรับเพาะปลูก ในที่ทุรกันดาร ที่ไม่ค่อยเหมาะสม ในการเพาะปลูก. แล้วก็ตั้งใจ ที่จะสนับสนุน ให้เขาตั้งโรงสี เหมือนโรงสี ในสวนจิตรฯ นี้ ซึ่งก็ไม่แพงนัก. เมื่อตั้งโรงสี ปลูกข้าวเองบ้าง และไปซื้อข้าว จากเกษตรกรบ้าง นำมาสี และขายในราคา ที่เหมาะสม เป็นในรูปสหกรณ์. ที่ทำที่สวนจิตรฯ นี้ ไม่ได้ใช้ข้าว ที่ปลูกในสวนจิตรฯ เพราะว่าข้าวที่ ปลูกในสวนจิตรฯ เอาไปเข้าพิธี แรกนาขวัญ. ข้าวที่โรงสีนี้ เป็นข้าวที่ ไปซื้อจากเกษตรกร โดยตรง โดยให้ราคา ที่เหมาะสม. เกษตรกร ก็มีความสุข เพราะขายข้าว ในราคา ที่เหมาะสม และผู้บริโภค ก็ซื้อได้ ในราคาถูก เพราะว่าไม่ต้อง มีการขนส่ง มากเกินไป ไม่ต้องมีคนกลาง มากเกินไป. ตกลง ทั้งผู้ผลิต ทั้งผู้บริโภค ก็มีความสุข.

กิจการแบบนี้ ก็เคยแนะนำ หน่วยทหารบางหน่วย ให้เขาทำโรงสี และสนับสนุนเกษตรกร ที่อยู่รอบๆ กองทหารนั้น ก็ดูมีความสุข. ที่นิคมต่างๆ มีนิคม ที่ประจวบฯ ที่ภาคใต้บ้าง และที่อื่น เขามีโรงสี และทำให้การซื้อข้าว ขายข้าวนั้น เป็นที่พอใจ ของผู้ขาย และผู้ซื้อ. ก็เคยได้แนะนำ บริษัทใหญ่ๆ ให้ทำแบบนี้ แต่ไม่ทราบว่า ทำหรือไม่ทำ. แต่ว่าถ้าทำอย่าง ที่กองทหาร และนิคมสร้างตนเองทำ ก็สามารถที่จะ ประหยัด และมีกิน. การตั้งโรงสี ก็ย่อมต้องมี การลงทุน การเพาะปลูก ผลิตข้าว หรือผลิตสิ่งของ ทางเกษตร ก็ต้องมี การลงทุน. จะเอาเงินลงทุน มาจากไหน. ก็นึกว่า ผู้ที่มีจิตใจกุศล ก็สามารถ ที่จะสนับสนุน อย่างมีพ่อค้าบางคน เขาก็บริจาคเงิน เพื่อสนับสนุนกิจการ ที่ทำอยู่.

แม้แต่กิจการ ที่นายกฯ ได้พูดถึง เรื่องทฤษฎีใหม่ เรื่องอะไรพวกนี้ ก็ต้องมี ผู้ที่สนับสนุน เพราะว่าชาวบ้าน หรือเกษตรกร อาจจะไม่มีทุนพอ สำหรับเริ่มโครงการ. แต่ถ้าสนับสนุนแล้ว คือเอกชน สนับสนุนก็ได้ ทางราชการ ก็สนับสนุนด้วย เงินที่สนับสนุน จะเป็นเงินที่ทำงาน. เงินทำงานนี่ ก็หมายความว่า มีผลขึ้นมา มีผลขึ้นมา ต่อเกษตรกร และมีผลต่อ ประเทศชาติ ในส่วนรวม. เศรษฐกิจของประเทศชาติ ก็จะไม่ฝืดเคือง และอย่างนี้ ก็ทำได้เร็วพอใช้.

เมื่อไม่กี่เดือนมานี่ มีคนเอาที่ดินมาให้ อยู่ที่อำเภอ ปักธงชัย. ตอนแรก เขาจะให้ ๙ ไร่ เวลามาพบ เขาเกิดพอใจ เขาบอกว่า เขามีที่ ๓๐ ไร่ เขาขอที่ ๙ ไร่ เอาไว้สำหรับ แจกให้ลูก ๓ คน คนละ ๓ ไร่ ส่วนอีก ๒๑ ไร่นั้น เขาให้. จะทำโครงการ อะไรก็ได้.

ตอนแรก เขานึกจะตั้งวัด. มีเพื่อนของเขา คัดค้านว่า มีวัดอยู่แล้ว. เขาก็เลยบอกว่า จะตั้งที่พัก สำหรับโรงพยาบาล ซึ่งอยู่ห่างจากที่นั้น ประมาณหนึ่งกิโลเมตร. ในที่สุดเขาเอามาให้ บอกว่า ทำอะไรก็ได้. เรานึกว่า ถ้าทำที่พักโรงพยาบาล ก็อาจจะยังไม่มี ประโยชน์ในทันที. จึงตกลง ทำโครงการสาธิต "ทฤษฎีใหม่" ในที่ที่เหลือ. ส่วนหนึ่ง จะทำการเพาะปลูก แบบชาวบ้าน แบบไม่ได้ส่งเสริม หมายความว่า ใช้น้ำฝน ใช้ธรรมชาติ. อีกส่วนหนึ่ง จะทำแบบ "ทฤษฎีใหม่". โดยขุดสระ และแบ่งเป็นส่วน ที่จะปลูกข้าว และส่วนที่จะ ปลูกไม้ยืนต้น กับปลูกพืชไร่ พืชสวน. เริ่มมา ไม่กี่เดือนนี้ ได้รับรายงาน เมื่อวานนี้ว่า ได้ดำเนินการ แบ่งส่วน ที่จะทำอะไรๆ และมีรูปภาพ สระที่ขุดแล้ว. มีความบกพร่อง อยู่บ้างว่า น้ำมีความเป็นด่างเกินไป เลี้ยงปลายังไม่ได้. ต้องมีการแก้ไข ให้น้ำนั้น มีค่าเป็นกลาง เพื่อที่จะให้ ใช้น้ำนั้น สำหรับเลี้ยงปลาได้. ที่จริงก็แปลก เพราะว่าที่อื่นที่ไปทำ น้ำมันเปรี้ยว ที่นี่น้ำเป็นด่าง. วิธีแก้น้ำ ที่เป็นด่าง ก็เอาปุ๋ยคอก แช่ลงไปในน้ำ ซึ่งจะทำให้น้ำนั้น กลายเป็นกลางได้.

ที่ดินอีกแห่ง มีคนเขามาให้ เหมือนกัน. ในที่นี้ปีนี้ ได้ทำการทดสอบ ว่าขุดแล้วดินเปรี้ยว น้ำจะเปรี้ยวไหม. นักวิชาการบอกว่า ยิ่งขุดยิ่งเปรี้ยว. ที่จริงก็ทราบอยู่แล้ว ว่าเป็นเช่นนั้น แต่จะต้องพิสูจน์ ให้ดูว่า ถ้าขุดแล้ว จะเปรี้ยว. แล้วเมื่อเอาจริง ก็เปรี้ยวจริงๆ. มีคนไปชิมน้ำนั้น แล้วบอกว่าเปรี้ยว เปรี้ยวเหมือน น้ำส้มสายชู ซึ่งเปรี้ยวมาก. ทำให้ใช้สำหรับ การเพาะปลูก สำหรับเลี้ยงปลาอะไร ใดๆ ไม่ได้. ได้ถามเจ้าหน้าที่ว่า ถ้าหากว่า น้ำนั้นยังเปรี้ยว แล้วจะให้หายเปรี้ยว ได้อย่างไร เขาก็บอกมีวิธี ให้เอาปูน หรือหินฝุ่น ใส่เข้าไป แล้วก็จะดี. เลยบอกให้เขาทราบว่า อันนี้ เป็นการทดลอง ยังไม่ต้องการ ใช้น้ำนั้น. แต่ว่ายังมีที่ข้างๆ ที่ได้ซื้อเพิ่มเติม สำหรับทำการทดลอง. จะทดลอง อีกแบบหนึ่ง แบบที่จะ ไม่ขุดลึกอย่างนั้น เพราะถ้าขุดลึก ก็จะไปเจอเปรี้ยว. ถ้าขุดเพียงตื้นๆ และเอาน้ำมาจาก คลองที่อยู่ใกล้ๆ แถวนั้นมาใส่ ก็ทดลอง ทำการเพาะปลูกได้. ถ้ามีที่ เล็กๆ น้อยๆ ก็อาจจะ ทำอย่างนี้ได้ แล้วทำได้เร็ว. เพียงไม่กี่เดือน ก็ได้ผลขึ้นมาบ้างแล้ว.

ที่ที่เปรี้ยวนี่ ก็คือที่ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก ซึ่งเป็นจังหวัดที่ ชื่อ "นครนายก". ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี เป็น "นา ยก" คือว่า นาเขายกภาษี เพราะว่าทุกปี ผลจะไม่ได้ ตั้งแต่สมัยเก่า. แต่ว่า ถ้าหากว่า ทำให้ดิน หายเปรี้ยวลง หรือหาวิธี ที่จะทำการกสิกรรม ในที่เปรี้ยวนี้ ได้อย่างดี อย่างได้ผล ก็จะเป็นจังหวัด ที่อาจจะต้อง เปลี่ยนชื่อจังหวัด อาจจะให้ชื่อว่า "นาสมบูรณ์" อะไรอย่างนั้น. แต่ที่ จังหวัดนครนายกนี่ มีที่นา เป็นแสนไร่ ก็ "นา ยก" ทั้งนั้น. ถ้าสามารถ ทำการทดลอง เป็นผลสำเร็จ เข้าใจว่า จะทำให้คน มีรายได้มากขึ้น. ทางภาคใต้ ได้ทำที่ จังหวัดนราธิวาส เป็นที่พรุ คือเป็นที่ ที่ได้ชื่อว่า เปรี้ยวแท้ๆ ทีเดียว ได้ทำโครงการ สามารถที่จะ ทำการปลูกข้าว และทำกสิกรรม ในที่พรุแท้ๆ เลยทีเดียว. ได้ขุดสระ และกรุด้วยหินปูน และใส่หินฝุ่นเข้าไป เพื่อให้น้ำไม่เปรี้ยว และส่งไปตามคลอง ตามท่อ. ก็ได้ผล จนกระทั่ง เห็นว่า ชาวบ้าน ที่ตรงหมู่บ้านแถวนั้น ที่เคยจนไม่มีกิน บัดนี้ เริ่มหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เพราะทำกสิกรรม ได้ผล.

ในเมืองไทยนี้ มีที่ดินกว้างขวาง พอสมควร แม้จะมีพลเมือง เพิ่มขึ้นมามาก ก็ยังมีที่ดิน. แต่ที่ดินส่วนมาก เป็นที่ดิน ที่แร้นแค้น ที่ไม่ดี บางแห่งก็เปรี้ยว บางแห่ง ก็เป็นด่าง บางแห่งก็เค็ม บางแห่งก็ ไม่มีดินเลย. อย่างเช่นที่ ที่ชะอำ เดินเดินไป เอ๊ะ! ทำไมตรงนี้ รู้สึกว่า เดินบนที่แข็ง มันเป็นดาน ไม่มีดินเลย. เดี๋ยวนี้ กำลังหา วิธีแก้ไข ซึ่งได้ผล ไปส่วนหนึ่งแล้ว โดยใช้ หญ้าแฝก. หญ้าแฝกนั้น จะระเบิดหิน ก็นึกว่า การค้นคว้าเหล่านี้ อาจจะ ไม่ทันกาล ในสถานการณ์ ปัจจุบันทันที แต่ก็มีหวัง ภายในปี สองปีนี้ จะสามารถทำให้ คนมีที่ทำกินมากขึ้น โดยใช้ วิทยาการสมัยใหม่ สามารถที่จะ ให้ผลผลิตดีขึ้น. ในการนี้จะต้องมี การลงทุน สำหรับวิจัย ต้องมีการลงทุน สำหรับช่วยเกษตรกร. ดังนั้น เงินที่ยังเหลืออยู่ จะต้องนำไปสนับสนุน ในทางนี้ ส่วนหนึ่ง ก็จะได้ผลดี จะเป็นผล ช่วยให้ประเทศไทย รอดพ้นวิกฤตการณ์. ซึ่งเชื่อว่า ประเทศไทย จะสามารถ พ้นวิกฤตการณ์ ได้ดีกว่า หลายประเทศ เพราะแผ่นดินนี้ ยังเหมาะสม กับความเป็นอยู่ได้ อย่างที่เคยพูด มาหลายปีแล้วว่า ภูมิประเทศยัง "ให้" คือเหมาะสม. แต่ความเป็นอยู่ ต้องไม่ฟุ้งเฟ้อ ต้องอยู่ อย่างประหยัด และต้องไปในทาง ที่ถูกต้อง.

วันนี้ พูดถึง วิธีแก้ไข สถานการณ์ปัจจุบัน วิกฤตการณ์ ปัจจุบัน ทางหนึ่ง วิธีหนึ่ง. สมัยนี้ เป็นสมัยที่ พูดกันได้ว่า "โลกาภิวัตน์" ก็จะต้อง ทำตาม ประเทศอื่นด้วย เพราะว่า ถ้าไม่ทำตาม ประเทศอื่น ตามคำสัญญา ที่มีไว้ เขาอาจจะ ไม่พอใจ. ทำไมเขา จะไม่พอใจ ก็เพราะว่าเขาเอง มีวิกฤตการณ์ เหมือนกัน. การที่ประเทศ ใกล้เมืองไทย ในภูมิภาคนี้ มีวิกฤตการณ์ด้วย ก็ทำให้ เราฟื้นจาก วิกฤตการณ์นี้ ยากขึ้น. และไม่ใช่ เฉพาะประเทศ ที่อยู่ ในภูมิภาคนี้ แม้แต่ประเทศ ที่ดูยังเจริญ รุ่งเรืองดี ก็รู้สึกว่าจะ กำลังเดือดร้อนขึ้น เพราะว่า ถ้าไม่แก้ไข วิกฤตการณ์ ในมุมไหน ของโลก ส่วนอื่นของโลก ก็จะต้องเดือดร้อน เหมือนกัน. ฉะนั้น เราต้องพยายาม อุ้มชูประชาชน ให้ได้ มีงานทำ มีรายได้ ก็จะสามารถ ผ่านวิกฤตการณ์. แต่ถ้าทำ แบบที่เคย มีนโยบายมา คือผลิตสิ่งของ ทางอุตสาหกรรม มากเกินไป ก็จะไม่สำเร็จ โดยที่ในเมืองไทย ตลาดมีน้อยลง เพราะคนมีเงินน้อยลง.

แต่ข้อสำคัญ นักเศรษฐกิจบอกว่า ให้ส่งออก ส่งออกไป ประเทศอื่นๆ ซึ่งก็ เดือดร้อนเหมือนกัน เขาก็ไม่ซื้อ. ถ้าทำผลิตผล ทางอุตสาหกรรม และไม่มีผู้ซื้อ ก็เป็นหมันเหมือนกัน. เราอาจจะผลิตสินค้า ที่มีคุณภาพดี แต่หลายประเทศ ในภูมิภาคนี้ ก็มีอุตสาหกรรม ที่มีคุณภาพ สุดยอดทีเดียว. ที่เกิดมี วิกฤตการณ์ขึ้นมาก็เพราะว่า ขยายการผลิต มากเกินไป และไม่มีใครซื้อ เพราะไม่มีใคร มีเงินพอ ที่จะซื้อ. อย่างรถยนต์ ที่ใช้มาตะกี้ เขายังมีรถ ที่อยู่ใน STOCK แต่ขายไม่ออก. ไม่ใช่ว่า ไม่มีคนอยากได้รถ แต่คนที่ อยากได้รถนั้น ไม่มีเงิน. ถ้าจะซื้อรถ โดยไม่จ่ายเงินให้ ใช้เงินเชื่อ บริษัทก็ ไปไม่รอด เหมือนกัน. ฉะนั้น เขาชะลอการสร้าง แล้วเขาจึงมา ทำรถคันนี้ให้ โดยใช้คนงาน กว่าสองร้อยคน. นี่ก็เป็นเรื่องของ การแก้ไขวิกฤตการณ์ แต่ท่านผู้ที่ ชอบเศรษฐกิจ แบบสมัยใหม่ อาจจะ ไม่ค่อยพอใจ. ต้องถอยหลัง เข้าคลอง จะต้องอยู่อย่าง ระมัดระวัง และต้องกลับ ไปทำกิจการ ที่อาจจะ ไม่ค่อยซับซ้อนนัก คือใช้เครื่องมืออะไร ที่ไม่หรูหรา. แต่ก็ อย่างไรก็ตาม มีความจำเป็น ที่จะถอยหลัง เพื่อที่จะก้าวหน้าต่อไป. ถ้าไม่ทำอย่างที่ว่านี้ ก็จะแก้ วิกฤตการณ์นี้ยาก.

ยังไม่ได้พูดถึง คำที่เคยพูด ทุกครั้ง คือ ต้องสามัคคีกัน. ต้องไม่ปัดขากัน มากเกินไป. แต่ว่าไม่ได้ หมายความว่า จะต้องทำแบบที่ บางคนนึกจะทำ. จะต้องให้ทุกคน มีโอกาสทำงาน ทำงาน ตามหน้าที่. เมื่อทำงาน ตามหน้าที่แล้ว ก็ต้องหวังดี ต่อผู้อื่น. นี้เป็นหลัก ที่สำคัญ. ต้องทำงานด้วยการ เห็นอกเห็นใจกัน และทำด้วย ความขยันหมั่นเพียร. ที่พูดนี้ ค่อนข้างจะ ซ้ำไปซ้ำมา แต่ไม่ทราบ จะพูดอย่างไร. เมื่อห้าปี ได้เล่าเรื่อง นกในสวนจิตรฯ นี้. ก็ขอแจ้งว่า เมื่อห้าปี มีนกกระทุง หนึ่งตัว แล้วซื้อใหม่ อีกสามตัว เป็นสี่. นกพวกนี้ เขาก็มีลูกมีเต้า และก็ไปเชิญชวน เพื่อนฝูงมา. มีวันหนึ่ง นับได้ ๑๕ ตัว ก็หมายความว่า เขาคงมีความสุข. แต่วันนี้ ในสระนี้ เหลือลอยอยู่ ตัวเดียว ลอยอยู่ตัวเดียวนี้ เพราะตัวอื่น คงไปเยี่ยมญาติ (เสียงหัวเราะ) หรืออาจจะ ตั้งครอบครัว ขึ้นมาใหม่ ก็ต้อง ดูแลครอบครัว.

ตัวที่เหลืออยู่นี้ เราให้ชื่อว่า คุณสมิทธฯ. และในที่ประชุมนี้ ก็มีคุณสมิทธฯ สองคน เขามาเดี่ยวๆ. คุณสมิทธฯ คนหนึ่ง มาคนเดียว คุณสมิทธฯ อีกคน ก็มาคนเดียว. คนอื่น อาจจะไม่ทราบ ว่าคุณสมิทธฯ คือใคร. แต่คุณสมิทธฯ เอง รู้ว่าเป็นใคร. คุณสมิทธฯ นี้ ที่เรียกว่า คุณสมิทธฯ เพราะว่า ถ้าเขาลอยในสระ ในทางทิศหนึ่ง แปลว่า ลมมันเปลี่ยนทิศ. เมื่อลมเปลี่ยนทิศ แล้วก็จะรู้ว่า อากาศจะมีฝน หรืออากาศจะมีลม หรืออากาศจะแห้ง. อาจจะเคยฉงนว่า ทำไมพยากรณ์อากาศ ได้อย่างแม่นยำ ก็เพราะว่า มีคุณสมิทธฯ นี่เอง. คุณสมิทธฯ ตัวจริง พยากรณ์ และคุณสมิทธฯ นกกระทุงนี่ เขาก็พยากรณ์. ก็มาประกอบกัน จนกระทั่งทราบว่า อากาศทางอุตุนิยมฯ จะเป็นอย่างไร. แล้วคุณสมิทธฯ เอง ก็เคยฉงนว่า ทำไมพยากรณ์ ได้แม่นยำนัก. เราไม่ได้บอก คุณสมิทธฯ ตัวจริง ว่ามีคุณสมิทธฯ นกกระทุง เพราะว่าไม่กล้า. แต่เดี๋ยวนี้ คุณสมิทธฯ ตัวจริง พ้นหน้าที่ อธิบดีกรมอุตุนิยมฯ แล้ว จึงพูดได้ (เสียงหัวเราะ) ว่าคุณสมิทธฯ ที่เหลือตัวเดียว เป็นผู้พยากรณ์อากาศ. และนอกจากนี้ ก็ได้รับความช่วยเหลือจาก "นางมณีเมขลา" ด้วย. เรื่องนี้ก็เป็นที่ฉงน ของคุณสมิทธฯ ตัวจริง.

วันนี้ ลมหนาวมาแล้ว เมื่อวานนี้ การสวนสนามทหาร จึงไม่เดือดร้อน. ได้มีการสวนสนาม อย่างสง่าผ่าเผย. รู้สึกว่า ทำให้ประชาชน มีขวัญดีด้วย ว่าเรามีทหาร ทุกเหล่าทัพ ที่เข้มแข็ง และ ผู้บัญชาการ สูงสุด ก็ได้บอกว่า กองทัพพร้อมที่จะ ช่วยพัฒนาต่อไป. ที่จริง ก็ได้อาศัย เหล่าทัพต่างๆ นี้ สำหรับ การพัฒนา เช่น ที่บอกว่าการขุดสระ ได้โดยเร็วนั้น ก็คือฝีมือทหารช่าง. การทำโครงการ ป้องกันน้ำท่วม ก็ใช้กำลังของ ทหารช่าง และหน่วยทหารอื่นๆ. ฉะนั้น ก็เชื่อว่า ถ้าช่วยกันทำ ตามหน้าที่ ที่แต่ละคนมี ก็สามารถที่จะ ทำให้ประเทศชาติ อยู่เย็นเป็นสุขได้. วันนี้ได้พูด เรื่องราว ที่อาจจะน่าคิด. และท่านเอง เป็นผู้มีความรู้ ก็จะต้องใช้ความรู้ ความฉลาด เพื่อแก้ไข ปัญหาต่างๆ ที่จะมีมา. และในการนี้ ขอทุกคนทุกท่าน ซึ่งมีหน้าที่ แต่ละท่าน พยายามใช้สติปัญญา และกำลังใจ ให้เป็นประโยชน์ ต่อส่วนรวม. ทั้งนี้ประเทศชาติ จะก้าวหน้า และมีความปลอดภัยต่อไป. ก็ขอให้ทุกๆ ท่าน ได้รับพร ให้มีความเจริญรุ่งเรือง ร่างกายแข็งแรง จิตใจปัญญาเข้มแข็ง เฉียบแหลม เพื่อที่จะได้ ความสำเร็จทุกประการ ในงานการ ที่ท่านกำลังทำ.

กลับสู่ หน้าดัชนีพระราชดำรัส


สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๔๒ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๗
ห้ามนำข้อมูลของเครือข่ายนี้ ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร